การบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
การแก้ไขเมื่อปี 2561 มันต่างจากเดิมอย่างไร? มันไม่ดีเหมือนที่ม็อบกล่าวหาจริงหรือ?
1. สำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีจุดกำเนิดมาจากเงินส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ที่ได้จากการทำธุรกิจ ตั้งแต่ก่อนจะครองราช เงินก้อนที่เรียกว่าเงินถุงแดง ตกมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาเรียกว่า เงินข้างที่ ต่อมาถูกจัดตั้งขึ้นเป็นกรมพระคลังข้างที่ ก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และเปลี่ยนมาเป็นสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในยุคปัจจุบัน
2. การเปลี่ยนแปลงการจำแนกแยกแยะ และการบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
2.1 ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เคยถูกจัดการดูแลรักษาภายใต้กฎหมายยุคคณะราษฎร คือ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 (ถูกแก้ไข
ในปี 2484 และ 2491)
กฎหมายฉบับปี 2479 เขียนให้ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ประเภทอื่นอยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง โดยมีคณะกรรมการคณะหนึ่งตั้งขึ้นโดยพระบรมราชานุญาต
ต่อมา แก้กฎหมายในปี 2491 จัดระบบใหม่
โดยให้การดูแล “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
“ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ให้อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง
และให้จัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อมารับหน้าที่ดูแล “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ประเภทอื่น โดยยังให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั่งเป็นประธาน
2.2 ต่อมา พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2560 ออกมาในยุค คสช.
เหตุผลระบุไว้ชัดเจนว่า โดยที่ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ จึงสมควรให้การจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย เพื่อให้การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นเป็นไปโดยเหมาะสมตามที่จะทรงมีพระราชวินิจฉัยและเป็นไปตามโบราณราชประเพณี ซึ่งจะสอดคล้องกับการจัดระเบียบราชการในพระองค์ตามที่ได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์
มีข้อแตกต่างที่สำคัญจากเดิม ได้แก่
(1) ประธานกรรมการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนจากนักการเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นโดยตำแหน่ง ให้มาจากการแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย
(2) ยุบ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” รวมกับ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”
จากที่เคยจำแนกเป็น “ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า พระราชวัง ที่ให้อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง แต่แก้กฎหมายให้ทรัพย์สินประเภทนี้ไปรวมกับ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” อยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
โดย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2560 แบ่งทรัพย์สินออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
“ทรัพย์สินส่วนพระองค์” หมายความว่า ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้วก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรัพย์สินที่รัฐทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และทรัพย์สินที่ทรงได้มาอันเป็นการส่วนพระองค์ รวมทั้งดอกผล
“ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” หมายความว่า ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์นอกจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ (“ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” เดิม ก็มาอยู่ในส่วนนี้)
ประการสำคัญ ได้เปลี่ยนหลักการเสียภาษี
จากกฎหมายเดิม เขียนว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากร เช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ย่อมไม่อยู่ในข่ายแห่งความยกเว้น ซึ่งหมายความว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด แต่ทรัพย์สินส่วนพระองค์โดยหลัก “ต้องเสียภาษี” ยกเว้นจะมีกฎหมายใดมายกเว้นเป็นการเฉพาะ
กฎหมายใหม่ แก้ไขเป็นว่า ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ทุกประเภทจะต้องเสียภาษีอากร หรือได้รับยกเว้นภาษีอากรย่อมเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
แปลว่า หลักการเดิมที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ต้องเสียภาษีเป็นหลักทรัพย์สินส่วนพระองค์ต้องเสียภาษีเป็นหลัก ถูกยกเลิกไป โดยเรื่องใดจะต้องเสียภาษีหรือไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
นั่นทำให้รัฐได้รับเงินภาษีรายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มากขึ้น
2.3 พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561
เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ เพื่อปรับปรุงการจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ให้เหมาะสมแก่การบริหารจัดการยิ่งขึ้น โดยถวายเป็นพระราชอำนาจในการจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย เพื่อให้การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นเป็นไปโดยเหมาะสมตามที่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยตามโบราณราชประเพณี
มีการแก้ไขชื่อเรียก โดย “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” แก้ไขเป็น “ทรัพย์สินในพระองค์” และ“ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” แก้ไขเป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”รวมถึง“สํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” แก้ไขเป็น “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”
กำหนดชัดเจนว่า “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” จำแนกเป็นสองส่วน ได้แก่ ทรัพย์สินในพระองค์และทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ การจัดการ การดูแลรักษา การจัดหาผลประโยชน์ และการดำเนินการอื่นใด อันเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
“ทรัพย์สินในพระองค์” หมายความว่า ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้วก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรัพย์สินที่รัฐทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และทรัพย์สินที่ทรงได้มาไม่ว่าในทางใดและเวลาใดอันเป็นการส่วนพระองค์ ทั้งนี้ รวมถึงดอกผลที่เกิดจากบรรดาทรัพย์สินเช่นว่านั้นด้วย
“ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์” หมายความว่า ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นอกจากทรัพย์สินในพระองค์
กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชวินิจฉัยในกรณีที่มีปัญหาว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
เปิดทางให้บุคคลหรือหน่วยงานอื่นสามารถจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ตามที่พระมหากษัตริย์ได้มอบหมาย แต่ถ้ายังมิได้ทรงมอบหมายให้ใครสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะมีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นั้น
ดูแลมิให้เกิดสุญญากาศในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยกำหนดว่า ให้ใครก็ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงได้เคยมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินฯ ยังคงจัดการได้ต่อไป
ในเรื่องภาษี มาตรา 9 ยังกำหนดว่า ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะต้องเสียภาษีอากร หรือได้รับยกเว้นภาษีอากร ย่อมเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้มากขึ้น (สมัยก่อนโน้น ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากรเช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดิน)
3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เขียนบทความสรุปไว้อย่างชัดเจนว่า
ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ อันเป็นพระราชมรดกตกทอด ได้ถูกแยกขาดออกจากทรัพย์สินของแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ให้ปะปนกัน
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือ ทรัพย์สินพระราชมรดกของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น เป็นการเฉพาะ
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ พระราชมรดกตกทอดแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์และย่อมจะสืบทอดต่อไปยังพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ถัดไปในอนาคต เป็นพระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรี หาได้เป็นทรัพย์ของแผ่นดินไม่ (ที่มาของพระราชทรัพย์นี้ที่สำคัญที่สุดคือเงินถุงแดง...)
ในอดีตกรมพระคลังข้างที่ดูแลทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ต่อมากลายเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันคือสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และพระคลังข้างที่ สังกัดสำนักพระราชวัง
...พระราชอำนาจในการจัดการพระราชทรัพย์ของพระเจ้าแผ่นดิน ได้ถูกปล้นไปโดยคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เอาที่ดินขายให้พวกตัวเองกันในราคาถูกๆ เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง จนทุกวันนี้ ลูกหลานของขุนนิรันดรชัย ยังฟ้องร้องแย่งชิงมรดกที่ดินแปลงงามที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ไปปล้นซื้อมาราคาถูกแสนถูกจากกรมพระคลังข้างที่
แล้วก็มาลิดรอนพระราชอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ โดยการออกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับ พ.ศ.2479 ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลรักษาการ
พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับ พ.ศ.2484 ให้กระทรวงการคลังดูแล และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน
ส่วนพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับ พ.ศ.2491 ให้มีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยตำแหน่ง
ทั้งหมดนี้ เป็นการลิดรอนสิทธิในการถือครองทรัพย์อันเป็นพระราชมรดก และการลิดรอนพระราชอำนาจตลอดจนสิทธิส่วนบุคคลในการถือครองทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์เพราะคณะราษฎรไม่ต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจใดๆ เลย
...พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2560 และ 2561 ทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์ (พระเจ้าแผ่นดินในฐานะตัวบุคคล) และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์(พระเจ้าแผ่นดินในฐานะสถาบันพระมหากษัตริย์) ดูแลจัดการโดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่เปลี่ยนมาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งกรรมการสำนักงานได้ตามพระราชอัธยาศัย
ทำให้ทรงจัดการพระราชทรัพย์ได้สะดวกและเป็นประโยชน์ได้ง่ายขึ้น
ทำให้ทรงเสียภาษีอย่างถูกต้องได้ทั้งหมด
ทำให้ทรงได้รับสิทธิ์อันชอบธรรมในการดูแลพระราชมรดกแห่งพระราชวงศ์จักรี
ทำให้ทรงงานและทรงใช้พระราชทรัพย์ในการทรงงานเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน สืบสาน ต่อยอด พระราชดำริแห่งในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อให้ประเทศ
มีการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปได้
ตัวอย่างหนึ่งคือ การที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่ดินมากมายที่เคยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นสาธารณประโยชน์ และทรงยกให้หน่วยราชการจำนวนมาก โดยที่ไม่ทรงเสียดายพระราชทรัพย์แต่ประการใดเลยมีมูลค่านับหลายแสนล้านบาท ไม่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและราชการหรือ?- ดร.อานนท์
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี