ภายหลังการเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการประนีประนอม ด้วยการชะลอการเข้าควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อกลุ่มคณะราษฎร 2563 ที่มีหมายจับปรากฏ จากที่ก่อนหน้านี้มีการจับกุม ควบคุมตัว ปล่อย จับกุมใหม่ และควบคุมตัวอีกครั้ง ทำเวียนในลักษณะนี้อย่างเข้มข้นต่อแกนนำ และระดับคนสำคัญที่ร่วมสร้างปรากฏการณ์ “ทะลุเพดาน” ในการปราศรัย และการแสดงออกทางสัญลักษณ์ ท่าทีของกลุ่มผู้ชุมนุมก็เหมือนกับว่าจะคลายความหนักหน่วงในเนื้อหา และความถี่ของการรวมตัวลง
แต่เมื่อการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 7 ฉบับ มาถึงกลุ่มคณะราษฎร 2563 ก็ลั่นกลองรบกันอีกครั้งอย่างฮึกเหิม โดยมีเป้าหมายในการผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับของไอลอว์ ที่ได้รับการร่วมลงชื่อจากประชาชนกว่าหนึ่งแสนคน (ซึ่งตรงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดในการเสนอญัตติเข้ามา) ให้ได้รับฉันทามติจากสมาชิกรัฐสภาในการนำมาปรับแก้กฎหมายสูงสุดของประเทศ และก็เป็นที่ทราบกันดีว่า พวกเขาต้องผิดหวัง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ไม่ได้รับความเห็นชอบด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ มีต่างชาติหนุนหลัง ต้องการนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณ (ชินวัตร) สนับสนุนการไม่เอาสถาบันกษัตริย์ ฯลฯ นอกจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมยังได้รับการเติมไฟแห่งความไม่พอใจด้วยการปราบปรามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเครื่องมือครบครัน ทั้งรถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และการปะทะของกลุ่มที่มีความคิดเห็นอันแตกต่าง
นี่เองจึงทำให้ประเทศเริ่มก้าวออกมาจากช่วงเวลาแห่งการประนีประนอม และแต่ละกลุ่มต่างเดินหน้าขับเคลื่อนข้อเรียกร้องหรือความต้องการตามที่ตัวเองอยากได้กันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การสาดสีหรือแสดงข้อความบางอย่างที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การประกาศไล่ล่ากลุ่มการเมืองที่อยู่เบื้องหลังม็อบนักศึกษา การปรากฏขึ้นของป้าย “นักสู้ธุลีดิน” และข้อความเชียร์คุณทักษิณที่ถนนอักษะ การประณามนักศึกษาสาวที่แสดงออกเรื่องของการถูกคุกคามในโรงเรียนของ สส.แห่งพลังประชารัฐว่าปลุกปั่นหลอกลวง การชี้เป้าสถานที่การชุมนุมไปที่สัญลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และมาตรา 112 ที่ถูกนำออกมาใช้ภายใต้กองเชียร์ระดับนำของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ที่ออกมาแสดงความยินดีปรีดา เป็นต้นเหล่านี้คือความน่ากังวลของประเทศไทย และคนส่วนใหญ่ ที่รู้สึกไม่สบายใจในคำตอบหรือผลลัพธ์ของสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งง่ายต่อการคาดการณ์ถึงความเสียหายเป็นอย่างมาก ดังนั้น หนทางสู่การประนีประนอมจึงเป็นความสำคัญในการไปต่อร่วมกันของคนในประเทศ ที่ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน เชื่อแบบเดียวกัน แต่ต้องพูดคุยกัน หรืออย่างน้อยๆ อยู่ในประเทศเดียวกันได้อย่างปลอดภัย โดยไม่สร้างความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญใจให้แก่กันและกัน
และด้วยสถานการณ์บ้านเมือง ณ ปัจจุบัน ต้องฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งดังกล่าวเหล่านั้นยากที่จะเกิดขึ้นได้จะด้วยตัวบทกฎหมาย หรืออำนาจพิเศษอะไรก็ตาม แต่แม้ว่ามันจะไม่ง่าย ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางทำได้สำเร็จ สำหรับเท่าที่เห็นอยู่ในตอนนี้ น่าจะมีเพียงแค่ 2 วิธีที่กำลังดำเนินการอยู่เท่านั้น ที่จะทำให้ความเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นความเป็นไปได้ ถ้าไม่ตกม้าตายเพราะความไม่จริงใจกันเสียก่อน
จึงขอมาเริ่มกันที่กระบวนการที่หินสุดๆ เพราะเต็มไปด้วยส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่พร้อมจะคอยทิ่มแทงให้ทางออกช่องทางนี้แท้งด้วยข้อพลิกแพลงจากกฎหมาย และอาศัยลูกเล่นทางการเมืองเหมือนกับครั้งการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (6 ฉบับ) อันเปล่าประโยชน์ที่ผ่านมา นั่นคือ การดำเนินการของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ที่จะร่วมกันปลดล็อกมาตรา 256 ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ง่าย (กว่าเดิมที่ยากจนแก้ไม่ได้) และออกแบบรูปแบบของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อมาร่วมกันร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศกันอีกครั้ง เพื่อหาทางออกให้กับความขัดแย้งของประเทศไทยในเวลานี้ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร 2563 ด้วย
กระนั้น เมื่อเห็นรายชื่อของ 45 อรหันต์ ในคณะกรรมาธิการชุดนี้ หลายคนก็รู้สึกหวั่นใจ เพราะเจตจำนงในการอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะไปกันคนละทิศคนละทางแบบสุดลิ่มทิ่มประตู อาทิ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียรน.ส.จิราพร สินธุไพร และนายชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทย นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายสิระ เจนจาคะ และนางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา จากพรรคพลังประชารัฐนายรังสิมันต์ โรม จากพรรคก้าวไกล นายศุภชัย ใจสมุทร จากพรรคภูมิใจไทย นายถวิล เปลี่ยนศรี นายเสรี สุวรรณภานนท์ และนายสมชาย แสวงการ จากสมาชิกวุฒิสภา เป็นต้น ซึ่งตอนนี้นอกจากเรื่องการแก้ไขมาตรา 256 ที่ฝั่งหนึ่งบอกว่าเป็นการปลดล็อกปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 แต่อีกฝั่งบอกว่า จะเป็นการสร้างปัญหาให้ใหญ่ขึ้น จึงต้องส่งไปตีความที่ศาลรัฐธรรมนูญก่อน ยังมีเรื่องของสัดส่วนและกลไกในการได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงมติเห็นชอบทั้งสองฉบับมีความแตกต่างกัน รวมไปถึงข้อเสนอของนายชลน่าน ศรีแก้ว ที่จะนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ ซึ่งเกินครึ่งของคณะกรรมาธิการชุดนี้มีการตั้งข้อสังเกตในเชิงลบเอาไว้ เข้ามาเป็นประเด็นในการพูดคุยที่กรรมาธิการชุดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่ามาจากเสียงของประชาชนโดยแท้จริง (ซึ่งก็ยังมีประเด็นปรากฏรายชื่อโดยไม่ยินยอมของประชาชนผู้ร่วมเสนอหลายร้อยคนที่ยังไม่กระจ่าง)
ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า คณะกรรมาธิการชุดนี้ จะประดิษฐ์กุญแจสำหรับไขทางออกจากความขัดแย้งของบ้านเมืองดอกนี้ออกมาเป็นความหวังได้หรือไม่ หรือจะยิ่งเป็นการเติมฟืนลงบนกองไฟ สุมความไม่พอใจอีกระลอก ซึ่งล่าสุด (27 พ.ย.) หลังการประชุมนัดแรกของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม “นายวิรัช รัตนเศรษฐ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกล่าวว่า “ในการประชุม กมธ. วันนี้ เบื้องต้นน่าจะเป็นเรื่องกรอบเวลาของวันประชุม เนื่องจากหลายคนบอกว่าวันศุกร์อาจจะไม่สะดวก จึงอยู่ที่ที่ประชุมจะเสนอว่าจะประชุมกันวันไหน หรือจะเพิ่มวันนอกจากวันศุกร์และเรื่องการตั้งที่ปรึกษาให้เข้ามาร่วมประชุม และเรื่องการอนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปฟังในห้องประชุม ซึ่งก็จะอยู่ที่ที่ประชุมว่าจะมีมติกันอย่างไร”
เมื่อนักข่าวถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยังมีกังวล ว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายวิรัช กล่าวว่า “ต้องดูที่การกระทำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะที่ผ่านมาตนเป็นคนหนึ่งที่พยายามเริ่มตั้งแต่ต้น จะสะดุดในส่วนไหนก็อยู่ในส่วนนั้น ยืนยันตนจะไม่ยอมให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตก ถึงแม้จะต้องหยุดพักบางช่วง แต่ก็เดินหน้ามาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ที่ผ่านวาระที่ 1 และหากตามกำหนดการกลางเดือนมกราคม 2564 คาดว่าการพิจารณาจะเสร็จ ทั้งนี้ก็อยู่ที่ กมธ. ด้วยว่าจะให้ความร่วมมือมากน้อยเพียงใด หากไม่มีประเด็นอะไรมากก็คิดว่าจะจบ และสามารถเข้าสู่วาระที่ 2 ในการพิจารณาของรัฐสภาได้ก่อนสิ้นเดือนมกราคม 2564 และเดือนกุมภาพันธ์ 2564ก็น่าจะโหวตวาระที่ 3 ซึ่งตนอยากให้จบเร็วที่สุด ไม่อยากเก็บไว้นาน”
ส่วนกุญแจอีกดอก ซึ่งน่าจะเป็นหัวใจสำคัญในการถอดสลักของความขัดแย้งที่ไปอุดอยู่ในระบบหรือกระบวนการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงเวลานี้“นายชวน หลีกภัย” ประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย กำลังทำการเจียระไนอย่างประณีต ภายหลังทำการปรึกษาพูดคุยกับ “ผู้เชี่ยวชาญ” ในกลุ่มสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมือง และสังคม ทั้งที่เป็นข่าว (อดีตนายกรัฐมนตรี) และในทางลับ จนได้กรอบของสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับการระดมความคิดและประดิษฐ์เครื่องมือชิ้นสำคัญนี้ออกมาในชื่อ “คณะกรรมการสมานฉันท์” ซึ่งมีจำนวน 21 คนจาก 7 กลุ่ม ดังนี้ 1.ตัวแทนจากรัฐบาล 2 คน2.ตัวแทนจาก สส.ฝ่ายรัฐบาล 2 คน 3.ตัวแทนจาก สส.ฝ่ายค้าน 2 คน 4.ตัวแทนจาก สว. 2 คน 5.ตัวแทนจากกลุ่มผู้ชุมนุม 2 คน 6.ตัวแทนจากกลุ่มผู้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น 2 คน และ 7.ผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน โดย3 คน มาจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย 1 คนมาจากที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ 1 คนมาจากที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลและ 4 คน มาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ด้านปรองดองสมานฉันท์ และมีนายคุณวุฒิ ตันตระกูลรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นเลขานุการ
“สำหรับการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ มีหน้าที่ศึกษารูปแบบการสร้างความปรองดอง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบองค์ประกอบทั้งหมด 21 คน หลังจากนี้ให้ฝ่ายเลขาฯแจ้งให้แต่ละฝ่ายได้รับทราบ เพื่อส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมกรรมการสมานฉันท์ เพื่อเริ่มเดินหน้าทำงานได้ทันที ส่วนประธานกรรมการสมานฉันท์ขึ้นอยู่กับที่ประชุมกรรมการสมานฉันท์พิจารณาจากกรรมการสมานฉันท์ด้วยกันเอง ส่วนจะมีภาระหน้าที่และรูปแบบการพิจารณาแก้ไขปัญหาอย่างไรนั้น เห็นว่าให้กรรมการมีการประชุมปรึกษาหารือกันก่อน และจากการลงพื้นที่พบปะรับฟังความเห็นประชาชนในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ประชาชนต่างก็เห็นด้วยหากกรรมการสมานฉันท์สามารถทำให้บ้านเมืองเป็นไปอย่างสงบ แต่ต้องยอมรับว่าความขัดแย้งและความเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางเรื่องมันป้องกันได้เพราะฝ่ายการเมืองอย่างเราๆ รู้ดีว่า บางเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งมันสามารถป้องกันได้ โดยการสร้างเงื่อนไขไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในอนาคตเราไม่รู้ว่าความขัดแย้งจะเป็นเรื่องอะไร แต่เรารู้ปัญหาในอดีตเราก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพื่อลดปัญหาในอนาคต ส่วนปัญหาในอนาคตมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราไม่มีทางรับรู้ได้เหมือนเทคโนโลยีโลกโซเชียลมีเดียยุคใหม่ แม้จะมีคุณค่ามากมาย แต่ก็มีโทษอย่างร้ายแรงหากใช้ไปในทางที่ผิด แต่หากใช้ในทางปรองดองก็จะทำให้เกิดความเข้าใจ และหากใช้ไปในทางที่ผิดก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นกัน ซึ่งเรื่องแบบนี้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้โดยตรงจะเข้ามามีส่วนร่วม”
นี่เป็นกระบวนการดำเนินการเบื้องต้นของคณะกรรมการชุดนี้ที่นายชวน หลีกภัย พยายามอธิบายกับนักข่าว ซึ่งถ้าอ่านอย่างตั้งใจ ก็จะเห็นได้ว่าท่านประธานรัฐสภา ให้น้ำหนักไปที่ฝ่ายการเมืองที่ต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดการกับปัญหาดังกล่าวนี้ ด้วยความรับผิดชอบที่มีต่อบ้านเมืองอย่างจริงใจ
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า คาดหวังกับกรรมการสมานฉันท์ชุดนี้ไว้อย่างไรบ้าง นายชวน กล่าวว่า ได้แจ้งต่อที่ประชุมวิปทั้ง 3 ฝ่าย แล้วว่าไม่ได้เล็งผลเลิศ ว่าจะต้องเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนทันทีทันใด แต่หวังว่าการได้มีช่องทางได้พูดคุยกันในปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหากผู้ชุมนุมไม่เข้าร่วมเป็นกรรมการ นายชวนยืนยันว่า ไม่มีปัญหา แต่รัฐสภายังต้องทำหน้าที่ไปตามภารกิจต่อไป หากไม่เข้าร่วมก็ทำหน้าที่ไปเท่าที่มีอยู่ไปก่อน แต่พยายามจะให้มีทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และต้องให้เวลาแต่ละฝ่ายในการตัดสินใจ
“อย่างไรก็ตาม กรรมการชุดนี้เป็นกรรมการชุดแรกจากทั้งหมด 2 ชุด ซึ่งชุดที่ 2 เป็นกรรมการสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด โดยมอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าพิจารณา ซึ่งในรูปแบบที่ 2 นี้ได้มีการหารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง อดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว ทุกฝ่ายให้ความเห็นในทางที่เป็นบวก และสนับสนุนให้เดินหน้าแก้ไขปัญหานี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปเชิญแต่ละท่านมาร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งสัดส่วนกรรมการหลังจากนี้จะเป็นใครนั้น จะมีการหารือกันอีกครั้งกับองค์กรภาคส่วนต่างๆ” นายชวน กล่าว
ถึงตรงนี้ ถ้าลองปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ก็จะรับทราบได้ทันทีว่า มันไม่ใช่แค่ปัญหาในการรักษาอำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาผ่านการเลือกตั้งด้วยกติกาที่เอาเปรียบ มันไม่ใช่แค่การเข้ามาทำรัฐประหารรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2557 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ภายหลังการออกมาต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยของกลุ่ม กปปส. มันไม่ใช่แค่การสลายการชุมนุมเหล่า นปช. (คนเสื้อแดง) ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังการโจมตีอันอุกอาจจากชายชุดดำต่อเจ้าหน้าที่ทหาร เมื่อปี 2553 มันไม่ใช่แค่การชุมนุมสกัดกั้นการเข้าสู่ตำแหน่งของนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ จากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มันไม่ใช่แค่การทำรัฐประหารรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อปี 2549 ด้วยเหตุผลแห่งการลุแก่อำนาจจนกระทำการผิดกฎหมายของรัฐบาลในขณะนั้น รวมไปถึงเรื่องราวทางการเมืองที่ถูกบอกเล่าในแง่มุมต่างๆ อีกมากมาย มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น หรือเรื่องนี้ ที่ถูกตัดตอนไปตามแต่ละช่วงเวลา แต่ทั้งหมดคือ เรื่องราวของการเมืองที่ถูกขับเคลื่อนมานานกว่าสองทศวรรษ เพื่อการได้มาซึ่งอำนาจ ความนิยมและผลประโยชน์อื่นใด ในจำนวนผู้เล่นที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
และนี่เองกระมัง ที่นายชวน หลีกภัย จึงเลือกที่จะให้น้ำหนักกับนักการเมืองในสัดส่วนของคณะกรรมการสมานฉันท์ มากกว่านักวิชาการ หรือสาขาอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง ดังนั้น ถ้ายังขืนพยายามหันไปแก้ด้วยหนทางอื่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประเทศไทยจะฝืนไปต่อได้อีกนานแค่ไหน
อรรฆพันธ์ อภิรักษ์พงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี