เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการได้จัดเสวนาเรื่อง “รัฐธรรมนูญใหม่สู่รัฐสวัสดิการ : ประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญรัฐสวัสดิการ” เพื่อร่วมแสดงความเห็น ความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบประมาณประเทศเพื่อรัฐสวัสดิการ อย่างไรก็ตาม การนำเสนอแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการในสังคมไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมายาวนานแล้ว
ใน “หนังสือ 120 ปี ชาตกาลปรีดี พนมยงค์” รศ.ดร.อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ ได้เขียนถึง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรก
ของประเทศไทยที่เสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการ ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (อาจารย์ปรีดี พนมยงค์) รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก จึงขอนำบางส่วนที่อาจารย์อิสริยาได้เล่าถึงความเป็นมาแนวคิดรัฐสวัสดิการของท่านอาจารย์ปรีดี ดังนี้
......แนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ ที่มีการอภิปรายในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการอธิบายเนื้อหาในบทความ “คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ของอาจารย์ป๋วย โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงเค้าโครงการเศรษฐกิจ ที่อาจารย์ปรีดี เสนอในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกของประเทศไทยที่เสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการและได้เสนอหลักการและร่างกฎหมายว่าด้วยการประกันสวัสดิการทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรมการจะทำความเข้าใจเค้าโครงการเศรษฐกิจได้อย่างถ่องแท้ จำป็นต้องเข้าใจบริบทของโลก และการหล่อหลอมแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของอาจารย์ปรีดี และบริบทของไทย ในช่วงก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๖
บริบทของโลกในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๒๙-๑๙๓๒ (พ.ศ. ๒๔๗๒-๒๔๗๕) เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เศรษฐกิจระบบเสรีนิยมในอังกฤษเริ่มมีปัญหา มีคนว่างงานจำนวนมาก ทำให้เริ่มมีแนวคิดที่รัฐต้องเข้ามาวางแผนเศรษฐกิจแทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกเช่นในกลุ่มสังคมนิยม (สหภาพโซเวียต) และกลุ่มฟาร์ซีสต์ (อิตาลี เยอรมนี ญี่ปุ่น) ที่เสนอให้รัฐเข้ามาจัดการเศรษฐกิจและในสมัยนั้นภาพของการที่รัฐจัดการเศรษฐกิจถูกมองเป็นภาพบวก ยังไม่มีใครเห็นผลเสียของการที่รัฐเข้ามาจัดการ ดังนั้น ในสมัยนั้นประเทศทั้งหลายต่างดำเนินนโยบายชาตินิยม พยายามพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจและคุ้มครองการค้า เช่น การตั้งกำแพงภาษี
ในช่วงที่ท่านอาจารย์ปรีดีศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓-๒๔๖๙ ได้รับอิทธิพลของนักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส “ชาร์ลส์ จี๊ด” ที่อธิบายแนวคิดภราดรภาพนิยมหรือลัทธิโซลิดาริสม์ (Solidarism) “มนุษยชาติต้องพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น จึงจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในความลำบากของผู้อื่นด้วย ซึ่งการนี้เป็นมูลฐานแห่งความยุติธรรมของสังคม อย่างไรก็ตาม โซลิดาริสม์แตกต่างไปจากลัทธิสังคมนิยม คือมีการเคารพในกรรมสิทธิ์ของบุคคลและยอมรับให้มีมรดกตกทอดได้ ตลอดจนให้ความอิสระเสรีต่อบุคคลในการใช้จ่าย นอกจากนี้ลัทธิโซลิดาริสม์ยังยอมรับความไม่เสมอภาคในสังคม ให้คนที่อ่อนแอและแข็งแรงรับผิดชอบการดำเนินชีวิตร่วมกันโดยความสมัครใจ ภายใต้ระบบประกันสังคม เพื่อความมั่นคงแห่งสังคม”
นอกจากนี้ “ชาร์ลส์ จี๊ด” ยังเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดสหกรณ์ “สหกรณ์สามารถตอบสนองความต้องการของตนด้วยวิธีการตนเอง คือ เป็นผู้ผลิตเอง พ่อค้าเอง นายธนาคารเอง เจ้าหนี้เอง และผู้ใช้แรงงานเอง” โดยมีความมุ่งหมายเพื่อล้มล้างกำไร กล่าวคือ สหกรณ์จะส่งคืนกำไรให้แก่สมาชิกตามที่มีส่วนร่วม และระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ยังสามารถดูแลการกระจายรายได้ให้เกิดความยุติธรรมยิ่งกว่าเครื่องมือทางกฎหมาย
สำหรับบริบทของไทยในช่วงก่อนปี ๒๔๗๖ อาชีพหลักของคนไทยคือชาวนา (ประมาณร้อยละ ๘๐ ของประชากรทั้งประเทศ) รองลงมาคือข้าราชการ สินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ ข้าว (คิดเป็น
ร้อยละ ๖๐-๗๐) ดีบุก ยางพารา และไม้สัก การค้าอยู่ในมือของต่างชาติ โดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีน ชาวนาในช่วงนั้นมีความเป็นอยู่ลำบาก จากการค้าข้าวผ่านคนกลาง โอกาสการเป็นเจ้าของที่ดินมีน้อย ชาวนายังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีในการผลิต เสียค่าเช่านา ถูกเก็บภาษีโค กระบือ และภาษีรัชชูปการที่ไม่เป็นธรรมรวมทั้งมีปัญหาชลประทานฝนแล้งและน้ำท่วม ในช่วงนั้นรัฐให้บริษัทเอกชนคือ บริษัทขุดคลองแลคูนาสยามซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางร่วมทุนกับต่างชาติ ได้สัมปทานขุดคลองทั่วประเทศแต่การขุดคลองไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้บริษัทยังได้สัมปทานขยายที่ดินสองฝั่งคลอง ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้น โอกาสที่ชาวนาจะเป็นเจ้าของที่ดินยิ่งน้อยเข้าไปอีก
จากการที่อาจารย์ปรีดีมีบิดาเป็นชาวนา ได้มีโอกาสสัมผัสและรับรู้สภาพของชาวนาไทยตั้งแต่เยาว์วัย จึงได้รับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของชาวนาประกอบกับในขณะที่ศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รับอิทธิพลจาก “ชาร์ลส์ จี๊ด” จึงได้ตกผลึกในความคิดว่า ปัญหาของประเทศไทยในขณะนั้นอยู่ที่เศรษฐกิจราษฎรในพื้นที่ชนบท การที่จะได้มาซึ่งประชาธิปไตยทั้งทางเศรษฐกิจการเมือง และสังคม จึงต้องเริ่มจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความยากจนของชาวชนบท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาและจากการที่บริบทในช่วงนั้น ราษฎรอ่อนแอ เนื่องจากมีความเป็นอยู่ลำบากแร้นแค้น ขาดที่ดิน เงินทุนเทคโนโลยี ลำพังชาวนาแต่ละบุคคลแต่ละครอบครัวจึงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ วิธีการแก้ไขปัญหาจึงต้องสนับสนุนให้ราษฎรที่เป็นชาวนายากจนรวมตัวกันเป็น “สหกรณ์” โดยสมาชิกสหกรณ์จะร่วมกันผลิต จัดการด้านตลาดและร่วมกันบริโภค
อาจารย์ปรีดี จึงได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ให้รัฐบาลเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจที่อาศัยหลักวิชา แผน และโครงการ โดยแบ่งการเศรษฐกิจออกเป็นสหกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ราษฎรมีความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจตามหลักเอกราชทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นหนึ่งในหลัก ๖ ประการ ซึ่งเขียนไว้ใน “หมวดที่ ๑ ประกาศของคณะราษฎร”ของเค้าโครงการเศรษฐกิจ “จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก” การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ เป็นการนำแนวคิดที่ดีของลัทธิเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งเสรีนิยม และสังคมนิยมเข้ามาปรับปรุงมาเป็นเค้าโครงทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ในการอ่านเค้าโครงการเศรษฐกิจจำเป็นต้องเข้าใจบริบทที่อาจารย์ปรีดีขณะเขียนเค้าโครงการเศรษฐกิจมีอายุเพียง ๓๒ ปี และเขียนด้วยความรีบเร่ง เนื่องจากจะต้องรีบร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ เสนอรัฐบาลตามที่ได้แถลงต่อราษฎรไว้ในประกาศของคณะราษฎร โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้มีการพิจารณาในหลักวิชา “อะไรดีก็รับไว้ อะไรมีเหตุผลควรปฏิเสธก็เลิกไปได้”
แล้วจึงค่อยมาคิดรายละเอียดในภายหลัง โดยหากมีการรับร่างเค้าโครงในหลักการแล้วจะตั้งคณะกรรมการ นักวิชาการ ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศมาช่วยกันทำ มาร่วมพิจารณาในรายละเอียดต่อไป การเขียนเค้าโครงด้วยความรีบเร่ง ทำให้อาจารย์ปรีดี ยังไม่ได้ตกผลึกในความคิดในเรื่องบทบาทของรัฐในการจัดการเศรษฐกิจ และไม่ได้มีการพิจารณาถ้อยคำที่ใช้อย่างรอบคอบมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือมีการใช้ถ้อยคำบางคำไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงนำไปสู่การเข้าใจผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยคำที่ “รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ประกอบการหรือผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง” แทนที่จะใช้ถ้อยคำ “รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบดูแลการเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่เค้าโครงการเศรษฐกิจไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา เนื่องจากได้มีการประณามกล่าวหาอาจารย์ปรีดีว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และบังคับให้หลวงประดิษฐ์ฯ เดินทางออกนอกประเทศ ต่อมาได้มีการสอบสวนหลวงประดิษฐ์ฯ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ ซึ่งความเห็นของกรรมาธิการเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้รับรองว่าหลวงประดิษฐ์ฯ ไม่มีมลทินในเรื่องที่ถูกกล่าวหาซึ่งหากพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจจะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นแนวคิดคอมมิวนิสต์ดังที่ถูกกล่าวหา เนื่องจากไม่มีการริบที่ดินของผู้มั่งมี แต่รัฐยังรับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชนที่มีอยู่เดิม และยอมรับกรรมสิทธิ์แห่งการประดิษฐ์คิดค้นของบุคคล ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญของการสร้างนวัตกรรมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีข้อยกเว้นให้เอกชนประกอบการเศรษฐกิจกรณีได้รับสัมปทานจากรัฐบาล และยกเว้นการรับราชการให้กับคนที่แสดงได้ว่า “มีฐานะที่จะเลี้ยงตัวเอง” และครอบครัว…
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี