วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วันนี้ ๕ ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร(รัชกาลที่ ๙) เพื่อเป็นการสำนึกในพระหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่มีต่อวงการนิติศาสตร์ไทย ผมขอนำเนื้อหาบางส่วนในบทความของท่านชวน หลีกภัย เรื่อง “สัจธรรมความจริงจากพระบรมราโชวาท” ที่เคยตีพิมพ์ในหนังสือ “สตมวาร สายธารนิติธรรม ตามรอยพ่อ” ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนี้...
“...เมื่อย้อนกลับไปทบทวนพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่ทรงมีต่อนักกฎหมายและผู้มีตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับความรับชอบในบ้านเมืองจะเห็นว่า ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องของความรอบรู้คู่กับความมีศีลธรรม ดังปรากฏในพระราชดำรัส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ที่พระราชทานแก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทรง
ขอให้ยึดมั่นคุณธรรมโดยตั้งมั่นอยู่ในความซื่อสัตย์ สุจริต ถือเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
โดยในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระองค์มีพระราชดำรัสถึงนักกฎหมายและทนายความโดยตรง ทรงให้ใช้ความรู้ที่ได้จากมหาวิทยาลัยด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ทรงให้ความหมายของอุดมคติไว้ชัดเจน ดังข้อความที่ว่า “อุดมคติ นั้น ก็คือมโนภาพหรือความนึกคิดถึงความดีความงามอันเลอเลิศในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นไปตามมโนภาพนั้นแล้ว ก็จะจัดว่าเป็นของที่ดีที่งามเลิศด้วยประการทั้งปวง กล่าวโดยทั่วไปมนุษย์เราย่อมปรารถนาจะประสบแต่สิ่งที่ดีงามเจริญตาเจริญใจ จึงควรจะได้มีอุดมคติด้วยกันทั้งนั้นแต่หากควรเป็นไปในทางไม่ก่อความเบียดเบียนแก่ผู้อื่น โดยเพ่งเล็งถึงประโยชน์สุขของผู้อื่นหรือส่วนรวมด้วยการเล็งผลดีหรืองามเลิศดังว่านี้ ถ้าหากเป็นไปเพียงแต่เพื่อประโยชน์สุขของตนเองเท่านั้นและเป็นการเบียดเบียนประโยชน์สุขของผู้อื่นแล้ว ก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว หาควรได้ชื่อว่าอุดมคติไม่”
แต่พระบรมราโชวาทที่สำคัญและสะท้อนปัญหาที่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมายของบ้านเมือง คือ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่พระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตสภาว่า
“เมื่อกฎหมายของเราดีอยู่แล้ว จุดใหญ่ที่สำคัญที่สุดในการธำรงรักษาความยุติธรรมในบ้านเมือง จึงได้แก่การสร้างนักกฎหมายที่ดี ที่จะสามารถวิเคราะห์ และใช้กฎหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนสร้างตนให้เป็นนักกฎหมายที่ดีแท้ โดยฝึกตนให้มีความกล้าในอาชีพของนักกฎหมาย คือ กล้าที่จะปฏิบัติการไปตามความถูกต้องเที่ยงตรง ทั้งตามกฎหมายและศีลธรรม ไม่ปล่อยให้ภยาคติ คือ ความเอนเอียงไปด้วยความหวาดกลัวอิทธิพลต่างๆ เข้าครอบงำ สำหรับเป็นกำลังส่งให้ทำงานได้ด้วยความองอาจ มั่นใจและมุ่งมานะ อีกประการหนึ่งต้องฝึกให้มีความเคารพเชื่อมั่นในสัจธรรม คือ ความถูกต้องตามครรลองคลองธรรม และความเป็นจริงอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมไม่เห็นสิ่งอันอื่นใดยิ่งไปกว่าความจริง สำหรับป้องกันมิให้ความไม่ยุติธรรม และความทุจริตเกิดขึ้นได้”
พระบรมราโชวาทนี้ สะท้อนสัจธรรมความจริงอีกปัญหาหนึ่งของกระบวนการปกครองบ้านเมืองว่าแม้มีกฎหมายที่เหมาะสมทันสมัยจะใช้บังคับแล้วก็ยังไม่เพียงพอ แต่ยังจำเป็นต้องมีนักกฎหมายที่ดี และนักกฎหมายที่ว่าดีนั้น ทรงเห็นว่า ยังต้องดีแท้ด้วย คือ ดีเพียงความรู้ ความสามารถก็ยังไม่ดีแท้ เพราะดีแท้คือนักกฎหมายที่มีความกล้าที่ปฏิบัติการไปตามความถูกต้องเที่ยงตรงทั้งตามกฎหมายและศีลธรรมไม่ปล่อยให้ภยาคติคือความเอนเอียงไปด้วยความหวาดกลัวในอิทธิพลต่างๆ เข้าครอบงำ
น่าสังเกตว่า พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่เนติบัณฑิตในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นั้น เป็นเวลาที่ทรงครองราชย์มาถึง ๓๐ ปีแล้วเป็นเวลานานที่ได้ทรงผ่าน และได้ทรงเห็นการกระทำของบุคคลของสถาบันต่างๆทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ บทบาทแต่ละองค์กรมีปัญหาอะไรกระทบต่อประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชนหรือไม่ อย่างไร
และเป็นความจริงตลอดมา ดังที่พระองค์ได้ทรงมีพระบรมราโชวาทกับลูกเสือ ในวันชุมนุมว่า ผู้มีอำนาจที่ใช้กฎหมายในประเทศนี้มีทั้งคนดี และคนไม่ดี และพระบรมราโชวาทต่อเยาวชนลูกเสือในวันลูกเสือแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ว่า
“ต่อไปวันข้างหน้าลูกเสือจะเป็นคนสำคัญของชาติ คือจะเป็นผู้บริหารปกครองบ้านเมืองได้ ขอให้ลูกเสือทราบถึงสิ่งสำคัญในการปกครองไว้ว่า บ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดีหากอยู่ที่การส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
เนื้อหาในบทความของท่านชวน หลีกภัยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ที่เกี่ยวกับกฎหมาย การใช้กฎหมาย และความยุติธรรม ซึ่งตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม ไว้เป็นจำนวนมาก โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้รวบรวมเป็นหนังสือชื่อ “ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม พุทธศักราช 2508-2546 “แนวทางการปฏิบัติงานและการดำรงตนของผู้พิพากษาศาลยุติธรรม”
พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับกฎหมาย การใช้กฎหมาย หลักนิติรัฐนิติธรรมและความยุติธรรม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้เป็นหลักคิดสำคัญต่อวงการกฎหมายไทยจนถึงปัจจุบัน
ศาสตราจารรย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต

พร้อมเต็มสูบ! ทัพเทนนิสไทยตั้งเป้าโกย4ทอง
ถล่มอิเหนา8-0!บอลหญิงเฉียบประเดิมซีเกมส์
'วราวุธ'เปิดนิทรรศการอสญฺญกาย-ศิลป์แห่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในมิติร่วมสมัย ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
นศ.อาชีวะช่างไฟฟ้า ให้บริการตรวจสอบ-ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าบ้านน้ำท่วม แล้วกว่า 300 ครัวเรือน
เคลื่อนไหวรัวๆ เดย์ ไทเทเนี่ยมโพสต์คำคมปริศนา ท่ามกลางดราม่านานา

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี