l แล้วคนไทย : เราจะทำอะไร? What is to be done?
๑.แน่นอน คนเราต่างต้องการ หาทางออกจากวิกฤติ (ทุกข์) ไปสู่ความสุข สงบ สันติแต่ประเด็นที่ตามมา
(๑) เรามีความตั้งใจ จะไปสู่ “สุข” คนเดียว พวกเดียว กลุ่มเดียว หรือเราจะไปสู่ “สุข” ร่วมกันของคนไทยทั้งชาติ
(๒) เราจะลงทุน หรือยอมทำอะไร? หรือยอมเสียอะไร? เพื่อให้ได้มา
ก. ทำทุกอย่าง เพื่อแลกกับ การบรรลุเป้าหมาย
ข. ไม่ทำอะไรเลย เพราะ “ไม่จำเป็น เราก็อยู่ดีมีสุขอยู่แล้ว”
ค. ทำเมื่อมีเงื่อนไข เห็นโอกาส ความเป็นไปได้ ที่สถานการณ์สุกงอมแล้ว
ง. มิใช่หน้าที่ของประชาชน หรือของเรา?
จ. เป็นหน้าที่ของรัฐบาล รัฐสภาฯ นักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการฯ
๒.เราเห็น “ทางออก” “แนวคิดที่ชัดเจน” ที่จะเดินไปสู่ทางแก้ไขวิกฤติของบ้านเมือง หรือยัง?
(๑) (คิดเอาเองว่า) เห็นแล้ว มีแล้ว คือ แนวทางการเลือกตั้งทั่วไป (แนวคิดเสรีนิยมฯ) โดยต้องปล่อยให้เป็นไปโดยเสรีจะผิดถูกดีชั่วฯ ระบบจะพัฒนาไปได้เอง
(๒) แนวทาง “ภาคประชาสังคม” ที่เชื่อมั่นใน “พลังของประชาชน” ประชาชนถูกต้องเสมอ ประชาชนต้องชนะ ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน!
(๓) ต้องใช้ “แนวทางเด็ดขาด” การปฏิวัติ ปฏิรูปการรัฐประหารฯ ที่มีผู้นำที่กล้าหาญเสียสละ
(๔) นำเสนอประเด็นหลักสำคัญ ให้ทำ เช่น แก้ที่การศึกษา, การเลือกตั้งท้องถิ่นฯ แต่ไม่พูดต่อว่า แล้วจะทำอย่างไร จึงจะได้มาฯ
(๕) ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ (ตามแนวทาง ที่ผู้เฒ่า และเด็กปลดแอกฯ นำเสนอ)
(๖) ไม่เห็นหนทาง เพราะ “ผู้นำและประชาชน” ไม่มีกึ๋น ไม่มีคุณภาพ ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง,
(๗) เชื่อว่า “จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่แน่นอน” เมื่อสถานการณ์ทั้งภายในและนอก ถึงจุดที่ตีบตันประชาชนทุกข์จนถึงที่สุด ประเทศวิกฤติฯ (ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมฯ)
๓.ประเด็นหลักของสังคมไทย ที่ยังไม่สามารถแก้วิกฤติใหญ่ และหาทางออกจากถ้ำได้คืออะไร?
(๑) สังคมไทยยังอยู่ได้ จากศักยภาพที่มี ทั้งภูมิประเทศทำเลที่ตั้งความหลากหลายทางชีวิตวัฒนธรรมประเพณีฯ และประชาชน
(๒) แนวคิดกระแสหลักของเสรีนิยม ที่ครอบงำสังคมไทย คือ “การเลือกตั้งทั่วไป” เชื่อว่า เป็นหนทางเดียว ในการนำพาประเทศ ก้าวไปได้ แม้จะมีปัญหามากน้อย ก็ตามทีกลุ่มคนฯ ที่สนับสนุนส่งเสริมฯ คัดค้านแนวคิดอื่นๆ เป็นกลุ่มที่มีพลังและอิทธิพลทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจ การเงิน สังคม สื่อฯ เหนือกว่า
(๓) ขาดแนวคิดอื่นๆ เช่น แนวคิดแบบจีน สิงคโปร์ ฯลฯ มีผลมาจาก ข้อ (๔)
(๔) ขาดนักคิด นักทฤษฎี ทางการเมือง และแนวทางการปฏิรูป (หรือปฏิวัติ) “ที่มาสรุปบทเรียน ที่ผ่านมา แล้วไม่ได้ผล” อย่างจริงจัง เป็นระบบแล้วนำเสนอ “แนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี จังหวะก้าว ขั้นตอนฯ” โดยมีบางส่วน ยึดถือแนวคิดตามอุดมการณ์ของตน ไม่ยอมเปลี่ยน และขัดขวางต่อต้านแนวคิดอื่นๆ
(๕) การพูด หรือการนำเสนอ มักจะดูดี แต่เป็นเชิงหลักการ(ขาดรูปธรรม และแนวทางปฏิบัติ) มักจะเน้นด้านเดียว เฉพาะเรื่องขาดมองภาพรวม ที่ให้ได้ความสมบูรณ์ครบถ้วนของสังคมไทย
(๖) ผู้นำสังคม หรือผู้นำที่มีอำนาจฯ ในภาคส่วนต่างๆ ในทุกภาคส่วน ไม่มีความเป็น “รัฐบุรุษ” ที่จักกล้าหาญเสียสละ ทำเพื่ออนาคตของประชาชน และประเทศไทย
(๗) ประชาชนส่วนใหญ่ขาดคุณภาพ ที่จักยืนอยู่ด้วยลำแข้งของตน มีความคิดอิสระ การมีส่วนร่วมฯ เพราะติดอยู่ในระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม (ของทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายอนุรักษ์ การเมือง ทุนฯ) และระบบการเมือง เศรษฐกิจฯ ทั้งฝ่ายการเมือง กองทัพ ทุนใหญ่ฯ ไม่ได้ใช้โอกาส ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล (ทั้งการเลือกตั้ง และรัฐประหาร) ในการพัฒนาคุณภาพของประชาชนอย่างจริงจัง
(๘) บางสำนักความคิด พูดแบบประชดว่า “ต้องคอยให้ถึง “กลียุค” ก่อน จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงความหมาย คือ ประเทศไทย ยังอยู่ได้ แม้มีวิกฤติใหญ่ ต้องคอยให้ “ถึงที่สุดก่อนฯ”
๔.หลักการใหญ่สำคัญ ที่เป็นข้อคิดให้กับสังคม และผู้ที่รักและปรารถนาการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
(๑) แนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคม ต้องอยู่บนพื้นฐานของสภาพและลักษณะความเป็นจริงของสังคม
(๒) สภาพปัจจุบัน ไม่มีพลังอำนาจใด ที่มีศักยภาพ มากพอ ที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงแต่ฝ่ายเดียวได้
(๓) ดุลอำนาจของสังคม มีหลากหลาย ทั้งที่คานกัน และร่วมมือกัน ในการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน
(๔) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้จริง มาจาก “ผู้นำของกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคม”
(๕) ประชาชน เป็นพลังที่ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นในภายหลัง และจักเป็นฐานที่มั่นคงของการเปลี่ยนแปลง
(๖) ผู้นำต้องสรุปบทเรียนอย่างจริงจัง และเมื่อเห็นว่า “ระบบการเมืองในปัจจุบัน” ไม่สามารถแก้วิกฤติได้ต้องกล้า “นำเสนอทางออกใหม่” ที่ผ่านการศึกษาใหญ่ จาก “กลุ่มผู้นำของสังคม”
(๗) การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ในยุคเดียว รัฐบาลเดียวแต่จะเกิดจาก “ผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษ” ที่จักเริ่มต้น พัฒนาจาก “ไม่มี สู่มี” จาก “เล็กสู่ใหญ่” ผ่านการทำถูก และทำผิด (ที่ต้องอาศัยระบบเดิม) แต่ต้องเป็นไปเพื่อ “ผลประโยชน์ของประชาชน”ประเด็นมีคนที่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่เพื่อโจมตีอีกฝ่าย ในเรื่องของการกระทำที่จำเป็นเช่น เมื่อยังอยู่ในระบบเลือกตั้งแบบเดิม (ไม่สุจริตเที่ยงธรรม มีการซื้อเสียง ซื้อสื่อ ซื้อสส.)การตั้งพรรคการเมือง ลงเลือกตั้ง ก็ต้องทำ “บางส่วนที่ไม่ถูก” จึงจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งได้
(๘) ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลง ทั้งเชิงบุคคล และระบบโครงสร้างของสังคม
(๙) เมื่อกระแสโลกมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ในทุกๆ ด้านฯ และมีผลต่อ “ประเทศไทย” ผู้นำ ประชาชน จักต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องฯ ภายใต้ผลประโยชน์ร่วมของคนทั้งชาติ
๕.แล้วเรามีแนวทางที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ได้อย่างไร? มีหลักคิด ๒ ทาง ที่ยึด สภาพและลักษณะที่เป็นจริงของสังคมไทย
(๑) หลักคิดแรก ยึดแนวปรัชญา ของ “ไอสไตน์” คือ ความขัดแย้งเก่า จักต้องใช้วิธีการใหม่ (ด้วยจากรับรู้ว่า “ใช้วิธีการเก่า” ไม่ได้ผล มา ๘๘ ปีแล้ว)
ระบบและโครงสร้างของสังคมที่เหลื่อมล้ำของไทย ไม่สามารถแก้ไขได้ จากการใช้ “ระบบการเลือกตั้งที่เหลื่อมล้ำ” คือ คนส่วนน้อยที่มีศักยภาพ สามารถตั้งพรรคการเมืองใหญ่ ที่มีกลไกเหนือกว่า ประชาชน ทั้ง “ทุน อำนาจรัฐ ข้าราชการ มวลชน นักวิชาการ สื่อฯ” ฉะนั้นทุกครั้ง ที่มีการเลือกตั้ง (ทั้งระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น) นักการเมือง กลุ่มทุนฯ เจ้าเก่า เจ้าเดิม หรือ เครือข่ายฯ ก็จะได้รับเลือกตั้งฯแล้ว เมื่อตั้งรัฐบาล หรือองค์กรส่วนปกครองท้องถิ่น จึงต้องไปถอนทุน ไปโกงกินฯ ฉะนั้น ผู้ปรารถนาการเปลี่ยนแปลงฯที่แท้จริง
ต้องศึกษาหารูปแบบ และเนื้อหา ของแนวทางที่จะเปลี่ยนแปลง “ความเหลื่อมล้ำนี้ได้จริง”
(๒) หลักคิดที่สอง ก็ต้องยึดสภาพความเป็นจริงของสังคมฯ คือ
๑.เมื่อความเป็นจริง ประเทศไทย “ไม่มีผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษ มาเปลี่ยนแปลง” เราก็ต้องศึกษารวมหมู่อย่างจริงจัง ในการพัฒนา ยกระดับ “ในสิ่งที่เป็นหลักสำคัญ” ที่จะเป็นจุดใหญ่ ของการเปลี่ยนแปลงทีละขั้นตอน โดยเน้นที่สำคัญ และเป็นไปได้ก่อน : โดยอาศัย “เงื่อนไขและปัจจัยที่เอื้ออำนวย” เช่น การร่างรัฐธรรมนูญ “กติกาสูงสุดของประเทศ” ที่มีเป้าหมายและหลักการ
(๑) เชิงโครงสร้างและระบบ : “ลดอำนาจนักการเมือง ข้าราชการ ทุนใหญ่”+
(๒) เชิงบุคคล หรือปัจเจก : เพิ่มอำนาจของ “ผู้นำและประชาชนที่มีคุณภาพ”
พรรคการเมือง ต้องเอาจริงจัง เพราะ “เป็นที่มาของ รัฐบาล และรัฐสภา” มีกฎกติกา ที่ควบคุมพฤติกรรม จรรยาบรรณได้
กฎหมายการเลือกตั้งที่ปฏิบัติได้จริง ที่สามารถเอาผิด ให้ใบแดง แก่ผู้ทำผิดกฎกติกา เช่น กกต. กำหนดให้ “ผู้สมัคร สส.
ใช้เงินไม่เกินคนละ ๑ ล้านบาท” แต่ผู้ได้รับเป็น สส. มากกว่า ๙๙.๙๙% ใช้เกิน หลายพรรคหลายคน ใช้ ๓๐-๕๐ ล้านบาท
รวมทั้งการปฏิรูปทางการเมืองอื่นๆ ต้องมีจุดเริ่มต้น ที่เป็นจริงได้ฯ
๒.การพัฒนาคุณภาพของประชาชน : ต้องเน้นที่ทำได้จริง คือ
เราไม่สามารถทำได้ในลักษณะทั่วไป คือ ปริมาณทั้งประเทศ แต่ต้องเน้นที่กลุ่มผู้นำที่มีจิตใจประชาธิปไตย เป็นหลักก่อน และที่สำคัญ คือ “การพัฒนาบุคคลได้จริง ต้องทำควบคู่ไปกับระบบที่ดี”
๓.การควบคุมคนไม่ดี โดยเฉพาะ “นักการเมือง ข้าราชการ และทุนใหญ่ (ที่ไม่ดี)”
ประเด็นที่สำคัญ คือ การป้องกัน และควบคุม “การทุจริต โกงกิน” ที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว
ต้องเน้น “การตรวจสอบและการครอบครองทรัพย์สิน บัญชีเงินทองฯ”
๖.เราจักเริ่มต้นอย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี