พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี้ โชคดี นอกเหนือจากพวก“หมาเห่าใบตองแห้ง” ค่อนแคะแขวะเหน็บรายวันอย่างไร้ประโยชน์แล้ว ก็มี “กัลยาณมิตร” ที่ให้คำแนะนำดีๆ ด้วยอยู่ที่ท่านมีหูสำหรับ “ได้ยิน” ข้อเสนอดีๆ ที่ว่าหรือเปล่า
1) นายเดชรัต สุขกำเนิด อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว “Decharut Sukkumnoed” ระบุว่า “ผมไม่ได้แย้ง ศบค. หรือรัฐบาล นะครับ
แต่ผมอยากบอกว่า “ผลกระทบ” มันไม่ได้เกิดจากคำว่า “ล็อกดาวน์” คำเดียวหรอกครับ แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจมันเกิดจากมาตรการต่างๆ ที่เริ่มมีการใช้หลังการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งเริ่มมาประมาณสัปดาห์หนึ่งแล้ว
ก่อนจะมีการระบาดระลอกใหม่ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ผลการศึกษา พบว่า มีผู้ประกอบการในสาขาการผลิตเพียงร้อยละ 28 สามารถกลับคืนสู่ภาวะก่อนเกิดโควิด-19 ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สาขาการผลิตเพียงร้อยละ 17 เท่านั้นที่กลับคืนสู่ภาวะเดิมก่อนเกิดโควิด-19
เมื่อมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และมาตรการปิด/ลดบริการต่างๆ ย่อมทำให้การกลับคืนสู่ภาวะเดิมช้าลงไปอีก
เป็นความผิดของรัฐบาลหรือไม่? ไม่ใช่ครับ แต่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่สามารถคิดหามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้แล้วครับ โดยไม่ต้องรอคำว่า “ล็อกดาวน์” ก่อนครับ
ทั้งนี้ งบประมาณที่รัฐบาลจะนำมาใช้ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบก็มาจากภาษีของประชาชน (ทั้งภาษีที่จ่ายแล้ว และจะจ่ายในอนาคตในกรณีที่กู้ยืมเงินมา) นั่นแหละครับซึ่งผมในฐานะผู้เสียภาษีคนหนึ่ง ผมขอแสดงความเห็นด้วย ที่จะนำภาษีมาช่วยเหลือพี่น้อง (ร่วมชาติ) ของผม โดยไม่ต้องรอคำว่า “ล็อกดาวน์” ครับ
แต่สำหรับท่านที่ไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็ยินดีรับฟังความเห็นของท่าน ในฐานะผู้เสียภาษีครับ”
2) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีต รมว.คลัง เขียนบทความ “ทางออกเร่งด่วน ต่อโควิดระบาดระลอกใหม่” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เนื้อหาคือ “โยกเงินกู้ 6 แสนล้าน” เร่งเยียวยาประชาชน ลงมือทำ 3 ข้อเร่งด่วน ช่วยเหลือ 4 กลุ่มสาหัส
“เราจะทำทุกอย่าง ใช้ทุกทรัพยากรที่มี เพื่อให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด” นี่คือคำประกาศที่เราอยากได้ยินจากท่านนายกรัฐมนตรีในวันนี้
วันนี้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งถึง 315 คน สูงที่สุดที่เคยมีมาและยังไม่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งความต่างที่สำคัญเมื่อเทียบกับ 7-8 เดือนก่อนคือวันนี้ประชาชนและคนค้าขายแทบทุกคนอยู่ในสภาพ “เงินหมดแล้ว”
วันนี้เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลทำได้ทันทีคือ การ“ส่งสัญญาณสร้างความเชื่อมั่น” ให้ผู้ประกอบการและแรงงานที่กำลังเดือดร้อนรับรู้ว่า รัฐบาลมีเสถียรภาพทางการคลังเพียงพอ มีศักยภาพที่พร้อมทำทุกทางในการลดความเดือดร้อนของประชาชน และหากต้องกู้อีกครั้ง รัฐบาลก็มีความมั่นคงทางการเงินมากพอที่จะทำได้โดยจะไม่ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนไปมากกว่านี้
แต่ก่อนจะมีการกู้เพิ่ม ท่านนายกฯ ควรจะทบทวนแผนการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ทุกบาททุกสตางค์ถึงมือผู้เดือดร้อนจริงโดยตรง และโดยเร็วที่สุด
จากข้อมูลทางการล่าสุด ก้อนที่ 1 : “งบเยียวยา”ยังเหลืออยู่เกือบ 200,000 ล้านที่ยังไม่เบิกจ่าย
ส่วนงบเจ้าปัญหาคือ ก้อนที่ 2 : “งบฟื้นฟู” นั้นเพิ่งเบิกจ่ายไปได้แค่ 2,600 ล้าน (จาก 400,000 ล้าน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อมของระบบราชการในการตอบโจทย์ COVID อย่างมีประสิทธิภาพ
ท่านนายกฯ ควรโอนงบโดย “โยกเงินกู้” ส่วนที่เหลือนี้ไว้ทั้งหมดกว่า 6 แสนล้าน กลับมาเร่งเยียวยาประชาชนโดยตรง อย่างเร่งด่วนก่อน เพราะจากการระบาดระลอกใหม่ มีคำสั่งที่กระทบต่อความเป็นอยู่ และรายได้ของประชาชน 4 กลุ่มเดือดร้อนสาหัส ได้แก่
1. พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง เงินช่วยเหลือจากประกันสังคม 6 เดือนหมดไปแล้วแต่ยังไม่สามารถหางานใหม่ได้ รัฐบาลควรมีมาตรการในการรองรับความเดือดร้อนส่วนนี้
2. กลุ่มที่รับเงินเยียวยา 5 พันบาท 3 เดือน จากโครงการเราไม่ทิ้งกันก็ผ่านไปแล้ว
3. กลุ่มประชาชนและร้านค้าที่ได้ประโยชน์จากโครงการคนละครึ่งซึ่งส่งผลดีมากๆ ตอนนี้คนไม่สามารถออกไปจับจ่ายได้อย่างเคยเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
4. กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร สถานบริการ ร้านสปานวดแผนโบราณ ฯลฯ ที่กำลังจะต้องแบกภาระดอกเบี้ย ค่าเช่า ค่าแรง ในระหว่างนี้ที่มีมาตรการควบคุมโรค รัฐสามารถช่วยรับภาระดอกเบี้ย หรือค่าแรงบางส่วนได้ และควรสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของที่เจ้าของตึกลดค่าเช่าให้ผู้ประกอบการโดยใช้แรงจูงใจทางภาษีมาช่วย
พรรคกล้า ขอเสนอทางออกเพื่อท่านนายกรัฐมนตรี เร่งช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม โดยด่วน
ด่วนแรก ส่งสัญญาณให้ชัดว่า “เราจะทำทุกอย่าง ใช้ทุกทรัพยากรที่มี เพื่อให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด” : ความเชื่อมั่นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
ด่วนที่สอง ทบทวนและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่างๆ ในรอบที่แล้ว เพื่อออกแบบมาตรการให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่มที่เดือดร้อน เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและช่วยให้ถึงมือประชาชนได้อย่างแท้จริง
ด่วนที่สาม ออกคำสั่งรวบรวมงบเงินกู้ที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 600,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการดูแลประชาชน
ทั้งนี้เรื่องที่เราต้องไม่ลืม คือสาเหตุของการระบาดรอบนี้ ส่วนสำคัญมาจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกิดจากผลของระบบราชการที่ล้าหลัง ทำให้เกิดช่องโหว่ในเรื่องของการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการข้ามแดนของคนไทย การลักลอบเข้ามาของแรงงานต่างด้าว หรือการมีบ่อนเถื่อนทั่วบ้านทั่วเมือง ล้วนแต่เป็นผลของการบริหารราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ และกฎกติกาที่ไม่เอื้อต่อการทำถูกกฎหมาย
ดังนั้น การทำให้ระบบราชการมีความทันสมัย โปร่งใส และไม่เป็นภาระมากเกินไปต่อสังคมจึงเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ-ลดการคอร์รัปชั่น ลดขนาดรัฐ ด้วยการใช้ gov tech
หรือ e-Government มาพัฒนาระบบราชการไทย
3) ก่อนหน้านี้ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ก็โพสต์แนะนำเรื่องการแก้ปัญหา “แรงงาน” มาครั้งหนึ่งแล้ว ความว่า จัดการแรงงานต่างด้าว ใช้หลัก “ปฏิบัตินิยม แทน อำนาจนิยม”
ในขณะที่การควบคุมชายแดนอย่างเข้มงวดเป็นหน้าที่ การขู่จับลูกจ้าง ปรับนายจ้างไม่ใช่ทางออกที่เหมาะกับสถานการณ์ และไม่ช่วยให้สถานการณ์โควิดดีขึ้นได้และอาจจะแย่ลง
ไม่มีใครควรทำผิดกฎหมายหรือระเบียบราชการ แต่รัฐบาลต้องตั้งคำถามว่า ขั้นตอนระบบราชการโปร่งใสและมีประสิทธิภาพแล้วหรือยัง? เหตุใดจึงมีช่องทางการทุจริตมากมาย? โดยเฉพาะกรณีการลักลอบเข้าเมือง
เหตุผลที่ การจับแรงงานต่างด้าว และลงโทษนายจ้าง โดยไม่ทบทวนปัญหาจากระบบราชการ ไม่ใช่ทางแก้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 ซ้ำร้ายจะเป็นการตอกย้ำปัญหาให้ SME และธุรกิจรายเล็ก สาเหตุคือ
1.ไทยขาดแคลนแรงงานจริง และธุรกิจยังต้องเดินต่อท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ งานหลายอย่างคนไทยไม่ทำ ซึ่งขณะนี้ไม่สามารถหาคนงานใหม่แบบถูกกฎหมายได้โดยสะดวกเพราะเงื่อนไขระบบราชการที่ยุ่งยากและเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น
2.การผลักแรงงานเถื่อนออกจากประเทศไม่ง่าย เพราะเพื่อนบ้าน พม่า ลาว กัมพูชา ยังปิดประเทศ และการมีมาตรการให้เกิดการกบดานหลบหนียิ่งอันตรายต่อไทยเราเอง
3.ดังนั้นควรปรับยุทธศาสตร์เป็นการทำให้แรงงานต่างด้าวเข้าในระบบ และเพิ่มความปลอดภัยด้วยการตรวจเชื้อให้ทุกคนรวมถึงครอบครัวโดยเร็ว-ใช้ online มาช่วยได้ครับ
4.ถึงเวลาที่เราจริงใจกับการปรับมาตรฐานความเป็นอยู่ของแรงงานต่างด้าว - ที่แพกุ้งสมุทรสาครการอยู่ร่วมกัน 7-8 คนในห้องขนาดเพียง 15 ตร.ม. เป็นเรื่องปกติ การแพร่เชื้อจึงเกิดขึ้นโดยง่าย สุดท้ายกลับมากระทบคนไทยเราเอง
ไม่มีสังคมไหนที่ยินดีกับการต้องพึ่งแรงงานต่างด้าว แต่เวลาผมไปเยี่ยมแรงงานไทยที่ต่างประเทศ ผมก็เรียกร้องให้ประเทศนั้นๆ กำกับให้มีการดูแลคนของเราที่ดี ฉันใดฉันนั้นครับ และการดูแลแรงงานต่างด้าวในประเทศเราจะช่วยลดความเสี่ยงต่อสังคมเราในด้านต่างๆ ทั้งทางสาธารณสุขและปัญหาอาชญากรรม
ส่วนในระยะยาว ถ้าเราตัองการลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าว เราต้องยกระดับเศรษฐกิจเราให้มีการใช้แรงงานลดลงใช้ทักษะและเทคโนโลยีมากขึ้น
การใช้หลัก “อำนาจนิยม” อย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ครับ เห็นมาแล้วในเกือบทุกเรื่อง ยิ่งโดยเฉพาะสถานการณ์แบบนี้ หลัก “ปฏิบัตินิยม” จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด
พูดกันให้ชัด วิกฤติโควิดรอบใหม่นี้ เกิดจาก “ระบบ” ที่ทำให้เกิดความหละหลวมของการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเกิดการระบาดอย่างน่ากลัว เราก็ปล่อยให้คนเดินข้ามแดนเข้าประเทศได้ เลวร้ายกว่านั้นคือ มีการ “รับเงิน” เพื่อ “ขนคน”เข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่ผ่านการคัดกรอง จนเกิดเชื้อปะทุขึ้นที่สมุทรสาคร
“บ่อน” ก็เป็นอีกปัญหา “ขยะใต้พรม” ที่ไม่เคยมีใครคิดจะแก้ไขให้ “สิ้นซาก”
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ มีคนแนะนำทางแก้แล้ว เรื่องแรงงาน ก็มีคนชี้แนะแล้ว เรื่อง “บ่อน” คงต้องให้มโนสำนึกแห่งความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ทำงาน
หวังว่าท่าน คงจะเงี่ยหูฟังคำแนะนำเหล่านี้อย่าง...เป็นมิตร และนำไปปฏิบัติให้เร็วที่สุด!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี