ผู้นำจีนชุดปัจจุบันพร้อมด้วยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ต่างมีความฝัน มีความมุ่งมั่น ที่จะให้จีนเป็นที่หนึ่งในโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งหมายถึงการท้าชิงตำแหน่งกับสหรัฐอเมริกา ผู้เป็นเจ้าโลกในปัจจุบัน
ความทะเยอทะยาน ความฝัน ความปรารถนา เป็นธรรมชาติและเป็นสิทธิ์ของมนุษย์ แต่หากผู้ใดโดนอัตตาเข้าครอบงำเสียแล้ว ใครจะไปห้ามปราม เหนี่ยวรั้งเรียกร้องสติกัน ก็มักจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก
แต่อย่างน้อย เราก็น่าจะสามารถตั้งคำถามได้ว่า เหตุใด ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ผู้นำสูงสุดและตลอดกาลของจีน รวมทั้งสมัครพรรคพวกและพลเมืองจีน (ที่เต็มไปด้วยความเป็นชาตินิยม) ถึงอยากให้จีนเป็นที่หนึ่งในโลก?
ก็น่าจะมีสาเหตุที่เป็นเหตุผลประกอบกันหลายประการ ได้แก่
1.ต้องการ “เอาคืน” หรือ “ล้างแค้น” เพราะสังคมจีนนั้นตั้งอยู่บนความเจ็บปวดมาร่วม 200 ปี ที่ถูกฝ่ายตะวันตก และญี่ปุ่น รังแก บุกรุก เอาชนะ และครอบครอง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 19
2.ความหลงระเริงไปกับความสำเร็จในการพัฒนาประเทศในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง จึงเกิดการประเมินตัวพละกำลัง ของตนเองไว้สูงมาก
3.ความมั่งคั่ง มั่งมี จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จนรัฐบาลจีนมีเงินงบประมาณมากมายไปพัฒนากองทัพ และการค้นคว้าวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถมด้วยนโยบายและมาตรการการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก ซึ่งความมั่งคั่งเหล่านี้เกิดจากการที่จีนกระโดดเข้ามาร่วมในระบอบทุนนิยม (หรือเศรษฐกิจการตลาดแบบเปิดหรือเสรี) ที่อำนวยให้เงินลงทุนและเทคโนโลยีหลั่งไหลเข้ามาในจีนเพื่อแสวงหากำไรจากแรงงานราคาถูกและเสถียรภาพทางการเมือง (ด้วยระบบพรรคเดียวเผด็จการ) จนจีนกลายเป็นโรงงานโลกและรายได้ทำให้จีนผลิตอาหารได้เพียงพอเอง ผู้คนหลายร้อยล้านคนพ้นจากสภาวะความยากจนยากไร้กลับกลายเป็นคนชั้นกลางและคนเมือง
4.การตระหนักได้ว่า ขณะนี้ฝ่ายโลกตะวันตกกำลังตกอยู่ในสภาวะปั่นป่วน ดูถดถอย อันสืบเนื่องมาจากความล้มเหลวของระบบระบอบการเมืองแบบเสรีนิยมที่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นระบบระบอบที่ชนชั้นสูงกุมอำนาจ หรือการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งมีศรีสุข และยังแก้ไขปรับปรุงไม่ได้
5.ความมั่นอกมั่นใจว่า ระบบพรรคของจีน คือเป็นผู้เล่นการเมืองพรรคเดียวเป็นเผด็จการ กับเศรษฐกิจทุนนิยมที่ฝ่ายรัฐเป็นผู้เล่นหลักนั้น เป็นรูปแบบที่ดีกว่าการเมืองแบบหลายพรรคแข่งขันกัน และฉะนั้น เป็นแบบอย่าง เป็นทางเลือก ให้กับประเทศกำลังพัฒนาได้
ด้วยการนี้ จีนจึงพยายามเร่งพัฒนาตนเองในทุกด้านจนสามารถตีตื้นฝ่ายตะวันตกขึ้นมาเรื่อยๆ ในทุกระดับ
โลกจึงได้มีการคาดการณ์ไว้ว่า อีกเพียงไม่กี่ปี จีนจะแซงสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะจีนมีประชากรถึง 1,400 ล้านคน และอยู่ในระบอบเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยม
แต่ต้องไม่ลืมว่า การจะเป็นผู้นำโลกนั้น เพียงแค่ความใหญ่โตทางเศรษฐกิจนั้นยังไม่เพียงพอ หากจำเป็นจะต้องพิจารณาที่รายได้ต่อหัวของประชากร รวมทั้งจำนวนคนที่ยากจน และผู้คนที่ถูกหลงลืมอีกด้วย
ณ วันนี้รายได้ต่อหัวโดยเฉลี่ยของคนอเมริกันอยู่ที่ประมาณ 50,000 เหรียญสหรัฐ (ดอลลาร์) ต่อปี ขณะที่ของจีนยังอยู่ที่ประมาณ 10,000 เหรียญสหรัฐต่อปี (ถือว่ายังห่างกันอยู่มาก) อีกทั้งการจัดงบประมาณเพื่อกิจการทหารของจีน ก็ยังเป็นแค่หนึ่งในสี่ของสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ดี ยังมีบางสาขาอุตสาหกรรมที่จีนกำลังแซงฝ่ายตะวันตกไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสาร (โดยเฉพาะคลื่นความถี่ 5G) กิจการอวกาศต่างๆ และทางด้านชีววิทยา เป็นต้น แต่ในภาพรวมแล้ว เทคโนโลยีของจีนยังถือว่าล้าหลังสหรัฐอเมริกาอยู่มาก โดยสหรัฐอเมริกาเองก็ตระหนักในข้อได้เปรียบนี้ จึงไม่หยุดยั้งในการพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อมิให้ผู้ใดก้าวทันเช่นกัน
นอกจากนั้น ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ หรือภูมิรัฐศาสตร์ จีนยังประสงค์ที่จะกีดกัน หรือขับไล่สหรัฐอเมริกาออกไปจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แถมยังหวังที่จะขยายกำลังรบไปทั่วโลกชนิดที่ว่า มีสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ไหน จีนก็ขอไปอยู่ด้วย
ส่วนระบบระเบียบโลกต่างๆ ที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา และตะวันตกได้วางเอาไว้ จีนก็จะขอเข้าไปเปลี่ยนแปลง หรือจัดระบบขึ้นมาใหม่ ตามความประสงค์ที่จะเล่นบทผู้นำโลก ซึ่งผลที่ตามมา ก็คือปฏิกิริยาต่อต้านจากสหรัฐอเมริกาและกลุ่มพันธมิตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีใครยอมให้จีนเป็นใหญ่ และครอบงำเป็นอันขาด
ประเด็นทั้งหมดนั้นอยู่ที่ว่า จีนจะพยายามแข่งขันเพื่อเอาชนะผู้อื่นไปทำไม? เหตุใดถึงไม่มุ่งพัฒนาเพื่อตัวเองให้ดีขึ้นโดยไม่ต้องไปมีนัยที่จะเอาแพ้เอาชนะกัน ซึ่งหากทำได้ ก็จะสามารถใฝ่หาความร่วมมือกันได้กับประเทศอื่นๆ บนโลก โลกก็จะเกิดสมดุลด้วยความสงบสุข
ด้วยเหตุนี้ ความฝัน ความเพ้อฝัน ความทะเยอทะยาน ของจีนนั้น จึงไม่สะท้อนหรือไม่รับกับสภาพความเป็นจริงซึ่งหากจะดันทุรังมุ่งหน้าท้าทายชาวโลกต่อไป ก็จะเป็นการไม่ดูตาม้าตาเรือ โดยสำคัญตนผิดเปล่าๆ โลกก็จะตกอยู่ในสภาวะของความหวาดกลัวว่าจะมีการปะทะสู้รบกัน
จีนนั้นมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในผู้นำโลกได้ โดยไม่ต้องมุ่งขจัดประเทศใดออกไปให้พ้นทาง และสามารถคงความเป็นใหญ่ของตนร่วมจรรโลงโลกให้มีสันติภาพ สันติสุข และความเจริญมั่งคั่งร่วมกันได้
ก็หวังว่า ผู้นำจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะได้ปล่อยวางความเจ็บปวดในประวัติศาสตร์ลง แล้วชั่งใจดูว่า การเป็นใหญ่เพียงผู้เดียวบนโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง กับการร่วมเป็นใหญ่บนโลกที่สงบสุขนั้นอะไรจะดีต่อประชาชนชาวจีน และชาวโลกมากกว่ากัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี