เล่นซะแรง - “หญิงหน่อย” หรือคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล และฐานะการเงินการคลังที่มีความเปราะบางจนอาจนำไปสู่การล้มละลายทางการคลัง
1) 2 กุมภาพันธ์ 2564 เพจ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ได้โพสต์ข้อความว่า
“ถ้ายังจำกันได้ เมื่อคราวที่รัฐบาลเสนองบประมาณรายจ่ายปี 2564 ต่อสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในปี 2563 จะติดลบร้อยละ 5-6 ส่วนเศรษฐกิจปี 2564จะขยายตัวร้อยละ 4-5 อันจะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีสิ้นสุดปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 58 โดยมีเงื่อนไขว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะต้องผ่อนคลายลง
...ล่าสุดเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2563 สภาพัฒน์แถลงข่าวคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะติดลบร้อยละ 6 ส่วนปี 2564 จะขยายตัวร้อยละ 3.5-4.5 แต่เป็นการแถลงข่าวก่อนเกิดการแพร่ระบาดซ้ำของ COVID รอบ 2 ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนลดลง ดังนั้น เศรษฐกิจปี 2564 ที่ครั้งแรกคาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 4-5 ต่อมาปรับลดลงเหลือ 3.5-4.5 จะขยายตัวจริงลดลงมากกว่าที่คาด ทั้งหมดเกิดจากความบกพร่องของนายกรัฐมนตรีและกองทัพที่รับผิดชอบการดูแลแรงงานข้ามชาติตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ใช่ความผิดประชาชนเลย
...สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยแย่ลงเรื่อยๆ ล่าสุดสำนักงบประมาณเผยแพร่ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิในปี 2565 ที่ประมาณว่า การจัดเก็บภาษีจะเหลือเพียง2.4 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ถึง 277,000 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 10.3 อันเป็นการจัดเก็บที่ลดลงสูงที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทย โดยในปี 2557 ที่มีการยึดอำนาจ สถิติการจัดเก็บภาษีลดลงร้อยละ 10.1 และติดลบเรื่อยมาจนปัจจุบันและต่อไปในอนาคต ตราบเท่าที่พลเอกประยุทธ์ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีความเปราะบางมากที่สุดจนอาจนำไปสู่การ “ล้มละลาย” ทางการคลัง
...วันนี้ล่วงเลยเวลาที่จะมาตำหนิกัน แต่จะขอแนะนำแบบคนที่หวังดีและห่วงบ้านเมืองว่า สถานการณ์ขณะนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือความเชื่อมั่น รัฐบาลจะต้องทำให้ประชาชนมองเห็นอนาคต เพื่อที่ประชาชนจะกล้าจับจ่ายใช้สอยและลงทุน อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายใน รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ออกมา ควรถามผู้ที่จะได้รับผลกระทบ เช่น มาตรการช่วยเหลือ SMEs ควรถามผู้ที่อยู่ในกลุ่ม SMEs ว่าต้องการอะไร(outside in approach) ไม่ใช่คิดเอาเองแบบรัฐราชการจนกลายเป็นมาตรการที่ออกมาไม่ได้ช่วยอะไร ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องดูแลประชาชนและผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย เพราะการฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งนี้ต้องอาศัยพลังของคนตัวเล็ก ตัวน้อยมาเป็นฐานพยุงเศรษฐกิจของไทยไม่ให้ล่มสลาย ส่วนนายทุนใหญ่ตรงไหนมีโอกาสเค้าก็เอาทุนไปลงที่นั่น แต่ไม่ใช่ที่ประเทศไทยแน่นอน #สู้เพื่อคนตัวเล็ก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์”
ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ไว้ตรงประโยคที่ว่า “ทำให้ฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีความเปราะบางมากที่สุดจนอาจนำไปสู่การ “ล้มละลาย” ทางการคลัง”
2) ไม่นานนัก-นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค“รัชดา ธนาดิเรก - รองโฆษกรัฐบาล” โดยระบุว่า ตอบข้อวิจารณ์คุณหญิงสุดารัตน์ ที่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศมีความเปราะบางจนอาจนำไปสู่การล้มละลายทางการคลัง
“...คำว่าภาวะขาดดุลทางการคลังมันต่างจากภาวะล้มละลายที่พูดถึง ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ประเทศไทยมีโครงสร้างทางการเงินการคลังที่มั่นคง ไม่ใกล้เคียงคำว่าล้มละลายแน่นอน เรื่องนี้ อยากให้ฟังข้อมูลตัวเลขจริงจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ดังนี้ค่ะ
...จากรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2563 เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นทั้งในด้านอุปสงค์จากต่างประเทศ และอุปสงค์ในประเทศ สะท้อนจากการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ8 เดือน ที่ร้อยละ 4.7 ต่อปี
...สำนักข่าว Bloomberg ได้ประเมินมุมมองอนาคตเศรษฐกิจของไทยปี 2564 ว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจเป็นอันดับ 1 ใน 17 ประเทศในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market Economies) สะท้อนได้จากเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง ความแข็งแกร่งในภาคการเงินระหว่างประเทศและศักยภาพในการดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ
...อีกทั้ง Bloomberg ได้เผยแพร่ดัชนีประสิทธิภาพของระบบรักษาสุขภาพ (Bloomberg Heath-EfficiencyIndex 2020) โดยชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรก(อันดับที่ 9) ของประเทศที่มีระบบรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพสูงเหนือกว่าอีกหลายประเทศจากกลุ่มตัวอย่าง 57 ประเทศ ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ แสดงให้เห็นถึงระบบสาธารณสุขของไทยที่มีประสิทธิภาพสูง
...การจัดเก็บรายได้รัฐบาลจะเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ หากนับจากปี 2557 การจัดเก็บรายได้รัฐบาลขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 2,074,660 ล้านบาท เป็น 2,391,570 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.1 ต่อปี (Compound Annual Growth Rate) ส่วนปีงบประมาณ 2563 รายได้รัฐบาลที่ลดลง เนื่องจากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย และการออกมาตรการทางภาษีเพื่อบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนและเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน สถานการณ์ทางการคลังประเทศไทยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง โดยฐานะทางการคลังมีความมั่นคงและมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ระดับเงินคงคลังยังอยู่ในระดับที่เพียงพอสามารถรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ และการดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป ทั้งนี้ ระดับเงินคงคลังปลายงวด ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563อยู่ที่ 473,001 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเงินคงคลังปลายงวดณ สิ้นปีงบประมาณก่อนหน้า ถึงร้อยละ 49.5
...นอกจากนี้ ในส่วนของหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 8.1 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับร้อยละ 52.1 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่กำหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60 และหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นการนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน”
ดร.รัชดา อธิบายได้ดี เข้าใจง่าย ด้วยกระบวนท่า“ฟาดกลับด้วยข้อเท็จจริง” โดยไม่ต้องเล่นลิ้นทางการเมือง หรือตีสำนวนจิกกัด สะท้อนภาพชัดว่า คุณหญิงหน่อย“เข้าใจผิด” ในชุดข้อมูล จนนำมาซึ่งการแสดง “ความไม่รู้”
3) ต่อมา นายชื่นชอบ คงอุดม ก็โพสต์เฟซบุ๊คตอบประเด็นหญิงหน่อยอีก 1 คน เรื่อง “จริงหรือที่ฐานะการคลังเราน่ากลัวถึงขั้นจะ “ล้มละลายทางการคลัง”???”
“...ขอตอบคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่กรุณาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการคลังแต่ผมอ่านแล้ว รู้สึกเกินจริง และอาจทำให้ประชาชนตกใจ หรือเสียขวัญ ทั้งที่เป็นเพียงการยกข้อมูลมาสรุปแบบไม่ครบรอบด้าน
...ก่อนอื่น ในฐานะหนึ่งในคณะทำงานของกระทรวงการคลัง ผมขอยืนยันว่าในท่ามกลางวิกฤติครั้งนี้ รัฐบาลได้พยายามประคองทั้งด้านสุขอนามัยของพี่น้องคนไทยควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยตระหนักถึงความเดือดร้อนของผู้หาเช้ากินค่ำซึ่งเป็นแรงงานขับเคลื่อนประเทศ และกลุ่ม SME ที่เป็นตัวจักรสำคัญของระบบเศรษฐกิจ
...รัฐบาลได้ออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนอาทิ โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน เราชนะ เงินกู้เพื่อรักษาสภาพคล่องของกลุ่มธุรกิจ เป็นต้น เพื่อช่วยพี่น้องประชาชนอย่างครอบคลุมและรอบคอบ
...จากปี 2563 ผลกระทบทั่วโลกจากการระบาดร้ายแรงของโควิด-19 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แม้กระนั้นก็ตามประเทศไทยก็ยังสามารถดูแลความปลอดภัยของประชาชนคนไทยได้อย่างดี สำนักข่าว Bloomberg ได้เผยแพร่ดัชนีประสิทธิภาพของระบบรักษาสุขภาพ (Bloomberg Heath-Efficiency Index 2020) ยังชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นอันดับที่ 9 ของประเทศที่มีระบบรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ สูงเหนือกว่าอีกหลายประเทศจากกลุ่มตัวอย่าง 57 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แสดงให้เห็นถึงระบบสาธารณสุขของไทยที่มีประสิทธิภาพเป็นอันดับต้นๆ ของโลกโดยเห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่น้อยกว่าประเทศอื่นมากๆ แม้ต้องเทียบกับชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจก็ตาม
...สำหรับเศรษฐกิจไทยที่ยังคงพึ่งพาการท่องเที่ยวและการส่งออก ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 อยู่บ้าง อย่างไรก็ตามจุดที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านไปแล้ว เพราะมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมกับความไม่แน่นอนต่างๆ เริ่มคลี่คลาย เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้กับประชากรโลก
...ดังจะเห็นได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ ตัวเลขการอุปโภค-บริโภคของเอกชน และการลงทุนภาครัฐ ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่เหลืออยู่เพียง 2 ตัว เมื่อดูอัตราเงินเฟ้อ ที่ในปี 2563 ซึ่งขยายตัวเป็นลบ (เงินฝืด) รัฐจึงจำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินผ่านนโยบายต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อพยุงความเป็นอยู่ให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤติโควิดนี้ไปด้วยกัน จากสภาวะเงินที่ฝืดในปี 2563 ซึ่งติดลบอยู่ราว 0.9แต่ประมาณการในช่วงปี 2564 กลับมาบวกอยู่ที่ราว 1.7 ซึ่งเป็นสภาวะที่จะเอื้อต่อกิจกรรมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
...และประมาณการของ สศช.ในปี 2564 เครื่องยนต์ที่เคยดับไปอย่างการส่งออก ก็กลับมาขยายตัวในแนวบวก โดยล่าสุดในเดือนธันวาคม 2563 ตัวเลขการส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ร้อยละ 4.7 ต่อปี นอกจากนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ดีและทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงราว 7.3 ล้านล้านบาท
...ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เศรษฐกิจไทยยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเราดูได้จากเมื่อตอนการระบาดของโควิด-19 รอบแรกตัวเลขดัชนีของ SET (มี.ค. 2563) ตํ่าสุดอยู่ที่ราวๆ 970 จุด ซึ่งเทียบกับปัจจุบันแม้จะมีการระบาดรอบใหม่แต่นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักประเมินว่าตัวเลขดัชนีอาจไปถึง 1,600 จุด
...ส่วนความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะที่อาจจะเกินร้อยละ 60 นั้น นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่าหากการก่อหนี้สาธารณะนั้นนำมาสร้างรายได้ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก อย่างโครงการคนละครึ่งนั้น มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในระดับหนึ่งอย่างชัดเจน ตอนนี้ฐานะหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ทั้งสิ้น 8.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนหนี้ต่อ GDP เท่ากับร้อยละ 52.1 ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบวินัยทางการคลังซึ่งรัฐบาลยึดมั่นอย่างเคร่งครัด
...ในภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั่วทั้งโลกต่างได้รับผลกระทบ ประเทศไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิกฤติครั้งนี้ได้ รัฐบาลตระหนักในความเดือดร้อนของพี่น้องคนไทยทุกคน รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนครั้งนี้เพื่อให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤติคราวนี้ให้ได้
...การจัดเก็บภาษีที่ลดลงนั้น เพราะความจำเป็นที่ต้องช่วยประชาชนทุกคนในยามลำบากครับ ซึ่งมีเพียงปีงบประมาณ 2557, 2560 และ 2563 ที่จัดเก็บได้ตํ่ากว่าประมาณการ แต่เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันมีความชัดเจนแล้วว่าการผลิตฉีดวัคซีนสามารถผลิตได้ถึง 104 ล้านโดส ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก 103 ล้านคน จึงประเมินได้ว่า โอกาสในการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นและเป็นไปตามเป้ามีความเป็นไปได้สูง
...ผมคิดว่าข้อกล่าวหาเรื่องความล้มละลายทางการคลังจึงเป็นเรื่องกล่าวเกินจริงและใช้จินตนาการมากเกินควรอย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นต่างจากโครงการรับจำนำข้าวซึ่งสร้างความเสียหายไปราว 500,000 กว่าล้านบาท เงินจำนวนนี้ถูกกู้ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรฯเงินก้อนนี้ช่วยเศรษฐกิจและชาวนาได้เพียงเล็กน้อย แต่สร้างภาระหนี้ที่เราทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบครับ
...ครั้งนี้รัฐบาลระมัดระวังการใช้จ่ายเงินสำหรับการใช้ในมาตรการต่างๆ และเมื่อเศรษฐกิจการค้าโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้น ประเทศไทยที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและแนวทางที่รัฐบาลวางแผนเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ย่อมดึงดูดเม็ดเงินให้เข้ามาลงทุนและทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามลำดับ
...ผมอยากให้เราให้กำลังใจซึ่งกันและกันครับ ในภาวะวิกฤติโควิดเช่นนี้ รัฐบาลต้องทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนชาวไทยให้มีความปลอดภัยทั้งทางด้านสุขอนามัยและฝ่าฟันความลำบากทางเศรษฐกิจที่ได้ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ดังที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ว่า“เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ครับ”
4) สรุปว่า : 1.หญิงหน่อย “ผิดหลง” กับข้อมูล นำมาสู่การตีความที่ผิด หรือหญิงหน่อย “เลือกข้อมูล” เฉพาะที่จะสร้างความเข้าใจผิดมาสื่อสาร
2.ถ้าทั้งหมดเกิดจาก “ความรู้น้อย” บทเรียนที่เกิดขึ้นกำลังบอกว่า หญิงหน่อยต้องหาความรู้ให้มากกว่านี้ เรา“อายุเยอะ” แล้วในวงการเมือง จะพูดอะไรซี้ซั้วให้คนอื่นถอนหงอกบ่อยๆ มันจะไม่งาม ยิ่งมีข่าวว่าจะตั้งพรรคใหม่ ยิ่งต้องสร้าง “ความน่าเชื่อถือ” ซึ่งจะใช้เฉพาะชั่วโมงบินในวงการเมืองไม่พอ ต้องน่าเชื่อถือทาง “สติปัญญา” ด้วย และจะพูดจะจาอะไรต้อง “รับผิดชอบ” ต่อสิ่งที่พูดนั้นด้วย
โชคดีที่รุ่นน้องทั้งสองที่มาตอบโต้ ล้วนเป็น“สุภาพชน”
แม้ไม่มีข้อหา “นำความโง่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์” แต่หญิงหน่อยก็ควรระวังไม่ให้เกิด “ความผิดพลาด” และ “ความคิดแคบ” แบบนี้บ่อยๆ ประเดี๋ยวเครดิต
ทางการเมืองที่ก็น้อยลงทุกวันๆ จะถึงขั้น ล้มละลาย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี