(15 ก.พ.2564) กลุ่มนักวิชาการในนามเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่ออ่านแถลงการณ์ซึ่งลงชื่อโดยนักวิชาการ 255 คน จากกว่า 30 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เรียกร้องให้ศาลทบทวนคำสั่งไม่ให้ประกันตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกคุมขัง
ระหว่างพิจารณาคดีมาตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.2564
ต้องเข้าใจก่อนว่า วันเดียวกันนั้น (15 ก.พ.2564) ศาลอาญาอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ ในคำร้องที่ น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยในคดีหมายเลขดำ อ.286/2564 พร้อมด้วย นายพงษ์สิทธิ์ นาเมืองรักษ์ ทนายความของ นายพริษฐ์, นายอานนท์ นำภา, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร จำเลยที่ 1-4 ในคดีหมายเลขดำ อ.287/2564 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวของศาลอาญา ในคดีที่กลุ่มจำเลยถูกพนักงานอัยการส่งฟ้องข้อหาความผิด ป.อาญา ม.112, ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา กรณีการชุมนุม 19-20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง ส่วนคดีหมายเลขดำ อ.286/2564นายพริษฐ์ถูกฟ้องเพียงคนเดียวในข้อหาความผิด ป.อาญา ม.112 กรณีการชุมนุมม็อบเฟส 14 พ.ย. 2563
โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งต่อคำร้อง 3 ฉบับ ประกอบด้วยคำร้องคดี อ.286/2564 ที่นายพริษฐ์เป็นจำเลย ศาลให้เหตุผลว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง การกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคล อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้น และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยขึ้นปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย นอกจากนี้ ยังปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันในคดีอื่นอีก เมื่อพิจารณาประกอบคำคัดค้านของพนักงานอัยการโจทก์แล้ว กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้ว จำเลยอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่าจำเลยอาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างพิจารณา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
สำหรับคำร้องคดี อ.287/2564 ที่มีการยื่นเข้ามาแยกกันเป็น 2 ฉบับ เป็นฉบับของจำเลยที่ 1, 2, 4 กับฉบับของจำเลยที่ 3 (หมอลำแบงค์) ศาลให้เหตุผลในทำนองเดียวกัน สรุปได้ว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง การกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยทั้งหมดปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และมีลักษณะชักนำประชาชนให้ล่วงละเมิดต่อกฎหมายของแผ่นดิน
นอกจากนี้ ยังปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้ในคดีอื่นอีก ส่วนจำเลยที่ 4 เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งคดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถูกจับกุมตามหมายจับ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้ว จำเลยที่ 1, 2 และ 4 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1, 2 และ 4 อาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 2และ 4 ในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ส่วนจำเลยที่ 3 เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อนอีกทั้งคดีนี้จำเลยที่ 3 ถูกจับกุมตามหมายจับ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้ว จำเลยที่ 3 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 อาจจะหลบหนีจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 3 ในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ซึ่ง ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะตัวแทน คนส. อ่านแถลงการณ์ ที่มีนักวิชาการอาวุโสหลายคนลงนามสนับสนุน เช่น ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการ ธงชัย วินิจจะกูล ชยันต์ วรรธนะภูติ และพนัส ทัศนียานนท์ เรียกร้องให้ศาล “คืนสิทธิในการได้รับการประกันตัวระหว่างถูกดำเนินคดีแก่ผู้ถูกสั่งฟ้องจากการชุมนุม” และทบทวนคำสั่งไม่ให้ประกันตัวทั้ง 4 คนโดยให้เหตุผลประกอบข้อเรียกร้อง 4 ข้อ คือ
1. ศาลพึงยึดหลัก “การสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคําพิพากษาถึงที่สุด” (the principle of presumption of innocence) อันเป็นหลักการทางกฎหมายพื้นฐานที่สําคัญในการดําเนินคดี อีกทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 ก็ยังบัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรค 2 ว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้”
“คำสั่งไม่ให้ประกันตัวที่วางอยู่บนการวินิจฉัยว่าจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา จึงเป็นเสมือนการตัดสินล่วงหน้าว่า การกระทำของผู้ถูกสั่งฟ้องเป็นการกระทำผิด ทั้งๆ ที่ กระบวนการไต่สวนยังไม่ได้เริ่มต้นและยังไม่มีคำพิพากษา เป็นการขัดกับหลักการและบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญข้างต้น”
2. หากภายหลังศาลมีคำพิพากษาว่าผู้ถูกสั่งฟ้องไม่ได้กระทำความผิด สิทธิและเสรีภาพที่ถูกพรากไปจากการถูกจองจำระหว่างดำเนินคดีก็ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้โดยเฉพาะนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ซึ่งเป็นนักศึกษาอยู่ การถูกจองจำจึงหมายถึงศาลได้ลิดรอนสิทธิในการศึกษาของนายพริษฐ์ไปด้วย
3. การฟ้องร้องดำเนินคดีที่เกิดขึ้นจำนวนมากต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองในขณะนี้ มีรัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าหน้าที่รัฐจะใช้มาตรการทางกฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมอย่างเกินกว่าเหตุ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่สถาบันตุลาการต้องรักษาความเป็นอิสระและสมดุลของการปกป้องหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชน
4. การให้ประกันตัวผู้ชุมนุมในคดีทางการเมืองอย่างที่ผ่านมา ช่วยประคับประคองไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายได้ค่อนข้างดี ตรงกันข้าม การไม่ให้ประกันตัวมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ขยายตัวรุนแรงยิ่งขึ้น
ผศ.ดร.ประจักษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า อาจารย์และเพื่อนๆของนายพริษฐ์ ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มธ. ได้นำหนังสือและเอกสารประกอบการสอนมาฝากให้นายพริษฐ์อ่านในเรือนจำด้วย เนื่องจากเทอมนี้เขาได้ลงทะเบียนเรียนวิชาต่างๆ อยู่
“หวังว่าศาลจะให้ความเมตตาและความยุติธรรมกับผู้ต้องหาทั้ง 4 คนในการที่จะได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี โดยเฉพาะนายพริษฐ์ที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่จะได้มาศึกษาต่อ” ผศ.ดร.ประจักษ์กล่าว
วิเคราะห์และตั้งคำถาม :
1) ทำไมไม่ใช้เหตุผลเหล่านี้ ให้ทนายความยื่นต่อศาลตามกระบวนการขอปล่อยตัว คณาจารย์เหล่านี้กำลังใช้ “กฎหมู่” ข่มขู่ “กฎหมาย” หรือไม่?
2) ศาลกระทำการไปตามอำนาจที่มีกฎหมายรองรับมิใช่หรือ? การอ้างว่าการกระทำของศาล “ขัดกับหลักการและบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ” ไยมิร้องต่อองค์กรที่มีอำนาจเพื่อให้คำสั่งอันมิชอบของศาลนี้ตกไป
3) หากภายหลังศาลมีคำพิพากษาว่าผู้ถูกสั่งฟ้องไม่ได้กระทำความผิด ก็มีกระบวนการชดเชยเยียวยาอยู่ใช่หรือไม่
4) การกล่าวว่า “การฟ้องร้องดำเนินคดีที่เกิดขึ้นจำนวนมากต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองในขณะนี้ มีรัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าหน้าที่รัฐจะใช้มาตรการทางกฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมอย่างเกินกว่าเหตุ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่สถาบันตุลาการต้องรักษาความเป็นอิสระและสมดุลของการปกป้องหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชน” คือการปรักปรำศาลว่าไม่เป็นกลาง ไม่เป็นอิสระใช่หรือไม่ ชี้นำให้สังคมสงสัย และติเตียน ศาลหรือเปล่า?
5) การอ้างว่า “การให้ประกันตัวผู้ชุมนุมในคดีทางการเมืองอย่างที่ผ่านมา ช่วยประคับประคองไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายได้ค่อนข้างดี ตรงกันข้าม การไม่ให้ประกันตัว มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ขยายตัวรุนแรงยิ่งขึ้น” ก็เป็นผู้ต้องหา/จำเลยเองมิใช่หรือ ที่ไปก่อการให้ความขัดแย้งขยายตัวและรุนแรงยิ่งขึ้น โดยไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง ใช้สิทธิเกินส่วน กระทำผิดซ้ำซากควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้ควบคุมตัว
6) ส่วนที่ห่วงเรื่อง “การศึกษา” นั้น ให้ไปปรึกษา “ไผ่ ดาวดิน” เสีย ว่าเขาจบการศึกษาควบคู่กับการถูกคุมขังมาได้อย่างไร อย่าได้อับจนปัญญา
การเป็นครูบาอาจารย์นั้น ควรมีคุณธรรมและความเที่ยงธรรมต่อกฎหมายบ้านเมือง ต่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของส่วนรวม และต่อความปลอดภัยของลูกศิษย์ มิใช่ยุยงส่งเสริม หรือ “หาประโยชน์จากสถานการณ์” เอาความดีความชอบเข้าตัวเอง คณาจารย์เหล่านี้ควร “ให้สติ” มากกว่า “ให้ท้าย” ว่าการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพนั้นอย่าไปล่วงล้ำก้ำเกินสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น อย่าสร้างความรุนแรง เกลียดชัง และอย่า “ละเมิดกฎหมาย”
หากปรามเสียก่อนถูกจับกุมคุมขัง
ดีกว่ามาออกอาการ “หิวแสง” ในเวลาที่เด็กถูกสั่งคุมขังไปแล้วหรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี