มีคำถามว่า การบินไทยจะได้กลับมาดำเนินธุรกิจต่อได้อีกหรือไม่ คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรู้ความเข้าใจในข้อมูลที่แท้จริงของผู้ตอบแต่ละคนที่มีต่อสภาพปัญหา และความเน่าหนอนฟอนเฟะของการบินไทย ซึ่งสะสมและหมักหมมมายาวนาน จวบจนกระทั่งยุคปัจจุบัน
ปัญหาหนึ่งที่การบินไทยถูกวิญญูชนวิพากษ์ตลอดเวลา คือระบบเส้นสาย พรรคพวก พวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงหลัก merit system รวมถึงปัญหาทุจริตฉ้อฉลโกงกินสารพัดชนิดภายในองค์กร ปัญหานี้เกิดมาจากทั้งคนภายในการบินไทย และจากคนภายนอกสารพัดกลุ่มที่อาศัยช่องทางต่างๆ เพื่อเข้าไปก่อการทุจริตในการบินไทย
ล่าสุดมีข่าวว่าการบินไทยประกาศว่าจะปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและปรับกลยุทธ์การบริหารธุรกิจ เพื่อให้บริหารงานได้คล่องตัวลดต้นทุนการดำเนินการ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน มีข่าวว่าจะลดจำนวนผู้บริหารจาก 740 อัตราเหลือ 500 อัตรา ลดขั้นตอนการบังคับบัญชาจาก 8 ระดับเหลือ 5 ระดับ โดยเหลือสายการทำงาน 8 สาย คือ สายการพาณิชย์สายปฏิบัติการ สายช่าง สายการเงินและการบัญชี สายทรัพยากรบุคคลฝ่ายดิจิทัล ฝ่ายขับเคลื่อนองค์กร และหน่วยธุรกิจการบิน แต่ในขณะที่อ้างว่าจะลดหน่วยงานลง แต่กลับพบว่ามีการเพิ่มหน่วยงานใหม่อีก 2 หน่วย คือฝ่ายขับเคลื่อนองค์กร และฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาองค์กรสาธารณชนเห็นข่าวนี้แล้วจึงตั้งคำถามกับผู้บริหารการบินไทยชุดล่าสุดว่า ตกลงจะลดหรือเพิ่มหน่วยงานกันแน่ หรือลดด้วยเพิ่มด้วย
อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักภายในการบินไทย ในยุคที่การบินไทยไม่สามารถดำเนินธุรกิจการบินได้ตามปกติอีกต่อไปคือ ความเหมาะสมของการวางตัวบุคคลในตำแหน่งระดับบริหารสารพัดตำแหน่ง ประเด็นนี้ ผู้เขียนตั้งคำถามกับแหล่งข่าวหลายสิบรายจากการบินไทยว่า คำถามนี้เกิดขึ้นเพราะความริษยาส่วนบุคคล หรือเกิดขึ้นเพราะความไม่เหมาะสมด้านคุณสมบัติอย่างแท้จริง คำตอบที่ได้คือ ขอให้สาธารณชนพิจารณาข้อมูลเชิงลึกด้วยสติปัญญาเอาเองว่าคำถามของคนในการบินไทยเกิดขึ้นจากความริษยาหรือเพราะเรื่องคุณสมบัติ
โดยอ้างอิงจากคำสั่งบริษัทการบินไทย ที่ 097/2563 เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงาน เอกสารฉบับดังกล่าวมีชื่อบุคคล 2 ราย คือ หมายเลข 3 นางพงษ์อุมา ดิษยะศริน ผู้จัดการกองบริหารทรัพยากรและสนับสนุนปฏิบัติการด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และมาตรฐานการบิน ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมองค์กรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกหนึ่งตำแหน่ง ส่วนหมายเลข 4 คือ นางจินตนา ทองสมบูรณ์ ตำแหน่ง Senior Training Specialist สังกัดฝ่ายพัฒนาและฝึกอบรมไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อ สำหรับ 2 ชื่อดังกล่าวนี้เป็นที่โจษขานกันหนักมากภายในการบินไทย รวมถึงภายนอกการบินไทยด้วย โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติของผู้รับตำแหน่ง
ยังมีคำสั่งการบินไทย ที่ 123/2563 เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานระดับบริหาร 2 ราย คือ 1 นางจันทริกา โชติกเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายฝึกอบรมธุรกิจการบิน ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สังกัดสำนักงานรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายทรัพยากรบุคคล และรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร อีกหนึ่งตำแหน่ง และ 2 เรืออากาศโท ณทชัย จันทร์สุดา ผู้อำนวยการภารกิจพิเศษ ฝ่ายปฏิบัติการบินระดับรองผู้อำนวยการใหญ่ สายปฏิบัติการ ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการใหญ่สังกัดสำนักงานรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายทรัพยากรบุคคล และรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล อีกหนึ่งตำแหน่ง
สิ่งที่คนการบินไทยตั้งคำถามกับผู้ลงนามแต่งตั้งโยกย้ายคือนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ว่าใช้มาตรฐานใดในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนถามแหล่งข่าวกลับไปว่า นายชาญศิลป์อาจทราบมาก่อนหรือเปล่าว่ากัปตันณทชัย อาจเคยทำงานด้านทรัพยากรบุคคลมาก่อน จึงโยกย้ายไปทำหน้าที่ดังกล่าว แต่ได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากคนการบินไทยหลายคนว่า ไม่พบข้อมูลว่ากัปตันณทชัย เคยทำงานด้านบริหารบุคคลมาก่อนแม้แต่น้อย จึงเกิดคำถามว่าการวางตัวบุคคลผู้ไม่มีประสบการณ์ตรงกับงานที่ได้รับมอบหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การบินไทยกำลังระส่ำระสายจนไม่รู้ชะตากรรมในอนาคต จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องของผู้บริหารผู้มีวิสัยทัศน์ อันที่จริงยังมีข้อมูลที่คนการบินไทยส่งให้ผู้เขียนถึงเรื่องนักบินกลุ่มหนึ่งที่แสดงตัวว่ารอบรู้ด้านงานบริหารบุคคล ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่กลับกล้าอุปโลกน์ตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญจัดอบรมด้านธรรมาภิบาลในบริษัท และยังอวดอ้างว่าไปรับงานฝึกอบรมด้านบริหารบุคคลให้กับโรงพยาบาลหลายแห่ง ซึ่งคนการบินไทยที่เข้าร่วมอบรมโดยนักบินกลุ่มที่ว่านั้นต่างยืนยันว่า “กลวงโบ๋หาสาระมิได้แม้แต่น้อย” เพราะทำได้แค่เปิดหนังสืออ่าน ซึ่งผลลัพธ์คือผู้ที่รู้เรื่องบริหารบุคคลอย่างแท้จริงต่างส่ายหน้าด้วยความสังเวช แล้วให้เหตุผลว่าเหตุที่นักบินกลุ่มนั้นกล้าสร้างภาพลวงตา ก็เพราะกลัวตกงาน เนื่องจากการบินไทยต้องเลิกจ้างนักบินเป็นจำนวนมาก จึงต้องพยายามสร้างภาพลวงตาเพื่อตบตาผู้บริหารที่คิดไม่เป็น และไม่มีปัญญาคิด
และยังมีคำถามอีกมากจากคนการบินไทยกลุ่มหนึ่งที่พุ่งตรงไปยังสายช่าง โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติของรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายช่างหรือ DT ที่แต่งตั้งมาตั้งแต่ยุคนายสุเมธ ดำรงชัยธรรม อยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ โดยลงนามเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2563 เรื่องนี้คนการบินไทยจำนวนหนึ่งตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงมีคำสั่งย้ายนายเชิดพันธ์ โชติคุณ จากผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร ไปดำรงตำแหน่ง DT ซึ่งประเด็นนี้ผู้เขียนได้ซักค้านแหล่งข่าวจากการบินไทยหลายคนเช่นกันว่า นายเชิดพันธ์อาจมีคุณสมบัติเด่นจนเตะตานายสุเมธก็เป็นได้ จึงทำให้นายสุเมธให้ตำแหน่ง DT แต่แหล่งข่าวการบินไทยยืนยันหนักแน่นว่านายเชิดพันธ์ไม่มีประสบการณ์ด้านการซ่อมบำรุงเครื่องบิน อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ผู้เขียนแจ้งกับแหล่งข่าวว่าขอเวลาตรวจสอบก่อน แต่ถ้าหากแหล่งข่าวมีหลักฐานยืนยันหนักแน่นก็ขอให้ส่งให้ผู้เขียนด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องของ DT นั้น มีข้อมูลอีกกระแสหนึ่งที่ผู้เขียนได้รับมาจากอดีตผู้บริหารระดับสูงของการบินไทยที่ให้ข้อมูลต่างๆ ของการบินไทยและไทยสมายล์กับผู้เขียนมาโดยตลอดคือ มีข่าวว่าฝ่ายช่างที่มาจากทหารอากาศไม่พอใจ DT คนล่าสุด เพราะ DT ผู้นี้เข้าไปสั่งลดรายได้จาก over time ของฝ่ายช่าง จึงทำให้มีผู้ไม่พอใจ แต่เขียนถามกลับว่าในเมื่อการบินไทยเกือบไม่ได้บินให้บริการในเชิงพาณิชย์มานานหลายเดือน แล้วจะมี over time ได้อย่างไร หากมีการจ่าย over time ทั้งๆ ที่เกือบไม่มีการบิน ก็หมายความว่ามีการทุจริต ใช่หรือไม่ แต่แหล่งข่าวก็ยืนยันว่าเรื่องการทุจริต over time ในการบินไทยนั้นมีนานมาก และพบว่าทุจริตในหลายแผนกทั้งกัปตัน นักบิน ฝ่ายช่าง และลูกเรือ ซึ่งปัญหานี้คนการบินจำนวนไม่น้อยต่างกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง และรู้กันเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องฟังความสองฝ่าย แต่ถึงกระนั้นก็มีผู้ยืนยันว่า DT ไม่มีประสบการณ์ในการซ่อมบำรุงเครื่องบิน แต่ผู้เขียนก็ยังคงแย้งว่าก็ต้องรอหลักฐานยืนยันก่อนจะฟันธงลงไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนค้นข้อมูลการทำงานของนายเชิดพันธ์ ในการบินไทยแล้วพบว่า เคยทำงานในฝ่ายช่างมาก่อนตั้งแต่ 01-07-1991 ถึง 13-08-1996 ตำแหน่ง A/C engineer 1 หน่วยงาน HM/MNengine overhaul shop แต่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการซ่อมอากาศยานแล้วหลังจากนั้นย้ายออกจากฝ่ายช่างไปนาน 24 ปี และไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคือหัวหน้าหน่วยบริหารจัดการดูแลด้าน engineering ด้านความสมควรเดินอากาศ (Air Worthiness) หรือควบคุมงานซ่อมบำรุงอากาศยานและการบิน
ประเด็นสำคัญที่คนการบินไทยส่งข้อมูลให้ผู้เขียนคือ Aeronuatical Industry คือการสร้างอากาศยาน ยานอวกาศ และการซ่อมแซมบำรุงอากาศยาน คำถามที่พุ่งไปยังนายเชิดพันธ์คือมีประสบการณ์ตรงที่ยาวนานเหมาะสมเพียงพอกับการซ่อมบำรุงอากาศยานหรือไม่ แล้วมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด (regulation) ที่ระบุว่าอย่างน้อย 5 ปี และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอีกอย่างน้อย 2 ปีหรือไม่
คำถามเหล่านี้น่าสนใจยิ่ง และเป็นสิ่งที่ผู้บริหารการบินไทยต้องตอบเรื่องนี้ต่อประชาคมการบินไทยให้ชัดเจน แล้วอย่าลืมว่าเจ้าหนี้การบินไทยก็ต้องการทราบเรื่องสำคัญนี้ด้วย เพราะไม่มีเจ้าหนี้รายใดต้องการสูญเงินให้ลูกหนี้ที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ยกเว้นเจ้าหนี้ที่ได้เงินมาจากการทุจริต ถ้าหากผู้บริหารการบินไทยสามารถทำความกระจ่างเรื่องนี้ได้ ก็เท่ากับลดปัญหาภายในการบินไทยไปได้อย่างน้อยเปลาะหนึ่ง
ผู้เขียนมีประเด็นทิ้งท้ายคือ จากการประชุม DT meeting ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม Daily Meeting ฝ่ายช่างสุวรรณภูมิ เวลา 10.00-12.00 น. ผู้ร่วมประชุมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า นายเชิดพันธ์กล่าวว่ามีผู้ไม่หวังดีนำเรื่องของตนไปลงหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะเรื่องรถยนต์หรู 2 คัน ทั้งนี้เพื่อนของตนที่เป็นมหาเศรษฐีติด 100 อันดับของไทย ผู้เป็นเจ้าของรถ super car หลายคันจะนำรถลัมโบร์กินี พร้อมระบุเลขทะเบียน มาจอดที่หน้าตึก 5 การบินไทย และจะเชิญตนเองขึ้นไปนั่งแล้วบอกด้วยว่าเจ้าของรถ super car ใช้บารมีโทรศัพท์ไปคุยกับเจ้าของหนังสือพิมพ์ฉบับที่ลงเรื่องรถหรูกับคนการบินไทย โดยเจ้าของหนังสือพิมพ์ได้เรียกคนเขียนคอลัมน์ไปด่าสั่งสอนแล้ว (แหล่งข่าวยืนยันว่าใช้คำว่าด่าสั่งสอน) แหล่งข่าวถามผู้เขียนว่า ผู้เขียนถูกเจ้าของหนังสือพิมพ์แนวหน้าเรียกไปด่าจริงหรือ ผู้เขียนตอบว่า ไม่มีใครด่าผู้เขียน และผู้เขียนตอบด้วยว่า เจ้าของรถหรูที่ถูกนำรถไปจอดในที่จอดรถของ DT นั้นอาจใช้บารมียิ่งใหญ่ตามคำอ้างของนายเชิดพันธ์ โทรฯ ไปหาเจ้าของหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นในจักรวาลนี้กระมัง แต่รับรองว่าไม่ใช่แนวหน้า เพราะเจ้าของแนวหน้าไม่รับโทรศัพท์จากคนไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แล้วเจ้าของแนวหน้าไม่เคยด่านักข่าวหรือคอลัมนิสต์คนใดของแนวหน้า หากนักข่าวและคอลัมนิสต์จงใจไม่ทำผิดจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชน แต่หากทำผิด ในแนวหน้ามีโทษเพียงสถานเดียวคือไล่ออกทันที เพราะแนวหน้าไม่เลี้ยงนักข่าวตบทรัพย์ นักข่าวรับจ้างเขียนข่าวโดยหาความจริงมิได้ แต่ทั้งนี้ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากสามีและภรรยาผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถหรู ผู้เขียนถาม 2 คน ว่าต้องการแก้ข่าวหรือไม่ หากมั่นใจว่าข่าวไม่เป็นความจริง ซึ่งได้คำตอบว่าไม่แก้ข่าว และไม่อยากเป็นข่าวใดๆผู้เขียนจึงฝากแหล่งข่าวกลับไปถามนายเชิดพันธ์ว่า เจ้าของรถหรูโทรฯ ไปหาเจ้าของหนังสือพิมพ์ฉบับไหนหรือ คอลัมนิสต์คนไหนถูกเจ้าของหนังสือพิมพ์ด่าสั่งสอนหรือ และยืนยันว่าแนวหน้าไม่มีเรื่องที่นายเชิดพันธ์กล่าวอ้างต่อที่ประชุมโดยหาความจริงใดๆ มิได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี