หลายปีก่อนหน้าพ.ศ. 2550 เริ่มมีความคิดจะย้ายรัฐสภาออกจากที่เดิมตรงถนนอู่ทองใน ด้วยเหตุผลว่า พระที่นั่งอัมพรสถานจะถูกปรับเป็นที่ประทับในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในอนาคต และพื้นที่อาคารรัฐสภาก็คับแคบลงไป ควรจะโยกย้ายไปพื้นที่ใหม่
มีการพิจารณาทั้งพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร, ปริมณฑล และจังหวัดรอบนอก เรื่องก็มาชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างในพ.ศ. 2551 สมัยที่มี นายชัย ชิดชอบ พ่อของนายเนวิน ชิดชอบ เป็นประธานรัฐสภา ซึ่งในที่สุด ก็มีมติเลือกบริเวณที่ดินราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) แปลงริมน้ำเจ้าพระยา เนื้อที่ 119 ไร่ เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เริ่มวางเสาเข็มเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556
สำหรับผู้ที่คว้าโครงการนี้ไปในราคา 12,000 กว่าล้านบาท ก็คือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ของ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล แล้วก็ให้บังเอิญว่า นายชวรัตน์ อยู่พรรคภูมิใจไทยเช่นเดียวกับ นายชัย ชิดชอบ และเป็นพ่อของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย ในปัจจุบัน
แม้ ซิโน-ไทย จะเคยผ่านการรับงานโครงการใหญ่ยักษ์ของรัฐมามาก แต่กระบวนการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ก็ยืดเยื้อยาวความ มีการขยายสัญญาถึง 4 ครั้ง รวมเป็นเวลาถึง 1,864 วัน
จากนั้นก็มีความพยายามขอขยายสัญญาเป็นครั้งที่ 5 ในสมัย นายชวน หลีกภัย เป็นประธานรัฐสภา แต่คราวนี้ไม่ได้ตามที่ขอ แถมหากยืดเป็นตังเมต่อไป ซิโน-ไทย จะถูกปรับเป็นเงินวันละ 12 ล้านบาท
ที่ตลกแบบ “ดาร์ค คอเมดี้” คือ ซิโน-ไทย ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นเงิน 1,590 ล้านบาท ด้วยเหตุผลว่าฝ่ายรัฐสภาส่งมอบพื้นที่ล่าช้า เป็นเหตุให้การก่อสร้างเกินกำหนด หมายความว่าที่ยืดเป็นตังเมนั้น ซิโน-ไทย ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่โชคดีที่ศาลปกครองกลางยกฟ้อง
นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2556 ก็มีกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับการจัดซื้อนาฬิกาติดผนังราคาเรือนละ 75,000 บาท จำนวน 200 เรือน รวมแล้วกว่า 15 ล้านบาท ขณะที่ราคาตลาดตอนนั้นตกที่เรือนละ 2 หมื่นต้นๆ ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพยายามชี้แจงว่า งบประมาณ 15 ล้านบาทนี้ ไม่ใช่แค่ค่านาฬิกาเท่านั้น แต่ยังมีค่าระบบสนับสนุนอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
แต่ ป.ป.ช. ไม่เชื่อคำชี้แจง และมีมติว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ชี้มูลความผิด นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรไม่แน่ใจ) พร้อมพวก 16 คน ตอนนี้ผู้ถูกกล่าวหาทุกรายยังต่อสู้คดีในชั้นศาล
สรุปว่า ตั้งแต่ลงเสาเข็ม ผ่านไป 12 ปี เกิดปัญหามากมาย งบประมาณก่อสร้างที่ต้นตั้งไว้ 12,280 ล้านบาท ก็บานปลายไปถึง 22,987 ล้านบาท จนกระทั่งตรวจรับงานโดย นายอาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คนปัจจุบัน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ทั้งๆ ที่ยังมีข้อกังขาอยู่หลายจุดถึงความถูกต้องของการก่อสร้างทั้งหมด เพราะเปิดใช้แล้วก็ยังต้องซ่อมมาเรื่อย ฝนตกน้ำรั่ว ไอ้โน่นพัง ไอ้นี่ก็ใช้การไม่ได้
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็มาอีกแล้ว เมื่อเปิดใช้รัฐสภาใหม่ไปแค่ 5 ปีเศษ รัฐสภาเตรียมของบประมาณเพิ่มอีก 15 โครงการ รวมมูลค่าราว 3 พันกว่าล้านบาท ทั้งๆที่ยังอยู่ในระยะเวลาประกัน 2 ปี ไม่รู้ว่าอยากได้งบไปทำของใหม่เพื่อปกปิดความไม่ถูกต้องของของเก่าหรือไม่ เมื่อรวมกับงบซ่อมโน่นนี่นั่นของสภาก็ตกราว 8 พันล้านบาท
รายละเอียดว่ามีโครงการอะไรบ้าง ลองไปหาอ่านข่าวย้อนหลังดูว่ามันสมเหตุสมผลแค่ไหน ยกตัวอย่างที่ฮาหนักคือ ออกแบบและตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา ในห้องประชุมสุริยัน ด้วยงบ 133 ล้านบาท
ผมเคยเขียนบทความไว้ชิ้นหนึ่งเมื่อครั้งมีการตัดสินใจเลือกที่ตั้งสภาตรงเกียกกายว่า สภาไม่ได้มีหน้าที่บริหาร จะตั้งอยู่ลำลูกกา หรือเลยไปนครนายก ก็ไม่เห็นแปลก จะเอาพื้นที่กว้างขวางเท่าไหร่ก็ได้ สมัยนี้การสื่อสารมีโทรศัพท์เคลื่อนที่กันทุกคน การเดินทางก็สะดวก ไม่สร้างปัญหาจราจรเพิ่มให้กรุงเทพฯด้วย
และไม่ใช่ผมคนเดียวที่มีความคิดแบบนี้ หลายคนก็แสดงความคิดเห็นหลากหลายแง่มุมออกมาทางสาธารณะ เพราะเสียดายเงินจำนวนมหาศาลของประเทศ แต่ก็ไม่สามารถกระตุกต่อม “ก็กูจะเอา” ของพวกอภิสิทธิ์ชนให้คลอนแคลนได้
หลังจากได้ฟังรองประธานสภาคนหนึ่งพูดประมาณว่า งบ 8,000 ล้านบาทเป็นงบเล็กๆ โครงการต่างๆ ที่เสนอของบก็เพื่อให้สมเกียรติสมศักดิ์ศรีของฝ่ายนิติบัญญัติ ประเทศไทยจะมีสภาที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก ผมถึงกับอุทานในใจแบบที่เขียนตรงนี้คงจะไม่งาม
เอาล่ะ ฝ่ายกระเหี้ยนกระหือรืออยากได้งบอาจจะบอกว่า ยังเพิ่งแค่ตั้งเสนอของบ ยังไม่ได้ลงมือทำ ทุจริตยังไม่เกิดว่างั้น ถ้าทำแล้วก็ค่อยไปตรวจสอบ คำถามคือ ใครจะตรวจสอบ? ฝ่ายค้านก็แค่อภิปรายงบประมาณให้มันปากกันไป ผ่านแล้วก็แล้วกัน เดี๋ยวก็จะมาอีหรอบเดียวกับปัญหาคาราคาซังระหว่างสภากับ ชิโน-ไทย และอย่าลืมว่า ฝ่ายค้านก็เป็นนักการเมืองที่ได้ประโยชน์จากสภาเช่นกัน
สถานที่ประชุมสส.และสว. มีชื่อเรียกกันว่า “สัปปายะสภาสถาน” แปลเป็นไทยอีกทีคือ สภาที่มีความสงบร่มเย็นสบาย แต่นับจากลงมือสร้างจนถึงทุกวันนี้ มีแต่เรื่องที่เป็นพิรุธน่าสงสัย มีคดีฟ้องร้องกันหลายคดี และหาเรื่องดีๆ ออกมาจากที่นั่นยากเหลือเกินจนบางทีอยากเรียกว่า “สับกันยับทุกสถาน”
ผมอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ว่า ความใหญ่โตโอฬารของสถานที่กับคุณภาพคนที่บรรจุอยู่ในนั้น ดูเหมือนจะสวนทางกัน
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี