หลังจากทหารเขมรรุกเข้ามาในดินแดนไทย และเปิดฉากยิงก่อน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ก่อนจะถูกโต้ตอบจนตายไป 1 หรือ 2 คน (ถึงตอนนี้ยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอน) สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
เหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มมั่วเมื่อรัฐบาลไทยแทนที่แถลงตอบโต้ให้เป็นเรื่องเป็นราว ก็เกิดจะดัดจริตเป็นผู้รักสันติภาพขึ้นมาทันที ฝ่ายทหารเสนอการปิดช่องทางบางด่านเข้า-ออกระหว่าง 2
ประเทศ ประธานวุฒิสภากัมพูชา นายฮุนเซน ก็โพสต์ฟาดงวงฟาดงารัวๆ
การเจรจาทวิภาคีไม่มีอะไรคืบหน้าที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ขณะที่เขมรยื่นเรื่องไปยังศาลระหว่างประเทศ อ้างว่าปราสาท 3 แห่งในเขตประเทศไทยนั้นเป็นของตน นั่นหมายความว่า ดินแดนไทยบริเวณนั้นก็เป็นดินแดนกัมพูชาด้วย
กว่ากระทรวงต่างประเทศเริ่มแถลงแสดงท่าทีได้ก็ผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว ยังไม่ถึงกับต้องทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการเอาแค่เรียกทูตเขมรมาบอกว่า “ไทยไม่พอใจ” ก็ยังไม่ได้ทำ น่าจะมีใครสักคนในฝั่งไทยสั่งไว้ว่าอย่าเพิ่ง เพราะมีผลประโยชน์พัวพันอยู่ในกัมพูชามิใช่น้อย
แต่แล้วนายกรัฐมนตรีของไทยกลับไปโทรศัพท์หานายฮุนเซน บอกว่า “อยากได้อะไรให้บอก”ฮุนเซน ไม่ใช่งูเขียวปากจิ้งจก แต่เป็นอสรพิษร้ายระดับงูจงอางเรียกพี่ รอจังหวะฉกอยู่แล้ว ได้ทีก็เอาคลิปเสียงที่คุยกันออกมาโพนทะนาถึงความฉลาดและไหวพริบปฏิภาณขั้นเทพของนายกฯไทย ผู้สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลก ด้วยมิติใหม่ของการเจรจาระหว่างประเทศ โดยการบอกว่า แม่ทัพของตนเองเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ส่วนผู้นำประเทศคู่ขัดแย้งเป็น “พวกเรา”
หลังจากคลิปเสียงถูกเผยแพร่ออกไป และถูกด่าประณามจากทั่วทุกสารทิศ นายกฯก็ต้องออกมาแถลงยอมรับว่าเป็นของจริง ไม่น่าจะตั้งใจออกมายอมรับเองสักเท่าไหร่ แต่เพราะหนีไม่ออก เมื่อทางเขมรเป็นคนปล่อยคลิปการพูดคุยครั้งนี้เอง เหตุการณ์นี้ภาษาปากแบบบ้านๆ อาจจะเรียกว่า“สะแหล๋นแต๋น”
จากนั้นเริ่มตั้งหลักได้ แม้จะยังโงนเงนเหมือนมวยเมาหมัดอยู่บ้าง บรรดากุนซือก็คงพยายามหาทางออกให้ด้วยการแก้ตัวว่า “เป็นการพูดคุยทางเทคนิค” ตามด้วยทีมงาน, กลุ่มมือปืนรับจ้าง, พวกที่เสนอหน้าหวังผลประโยชน์ในอนาคต และแฟนคลับผู้หลงใหลคลั่งไคล้ แห่แหนออกมาอวยกันเป็นสามารถ
ผ่านเวลาไปเกือบเดือน วันที่ 22 มิถุนายน 2568 กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งออกประกาศแจ้งเตือนคนไทย กรณีสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับเขมร ว่า ให้คนไทยเลี่ยงเดินทางเข้ากัมพูชาถ้าไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด หรือคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาก็ให้เลี่ยงเข้าใกล้พื้นที่ชุมนุมและพื้นที่เสี่ยง พร้อมติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
ถ้อยคำในประกาศครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งของไทยและเขมรถึงระดับไม่ธรรมดา และจริงๆ ควรจะประกาศก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
ระหว่างความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นแบบต้องจับตาวันต่อวันนี้ มีคนมากมายสงสัยว่า คนที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลไทยตัวจริง ซึ่งมีความสนิทสนมกับ ฮุนเซน ถึงขนาดเอาหลานไปเป็นดองกันและมีผลประโยชน์หลายอย่างร่วมกัน หายไปไหน ความจริงคงยังไม่ได้ไปไหน แต่ที่เงียบไปนี่อาจจะต่อสายเป็นระวิง เพื่อเจรจาต่อรองอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งต่อรองกับคนในประเทศ และต่อรองกับผู้นำเขมร
แต่ขณะที่ริมรั้วฮึ่มๆ กันอยู่ ภายในรั้วก็แย่งชามข้าวกันเป็นที่โกลาหล โดยประดาคนที่หนาตั้งแต่หนังหน้าถึงหนังเท้า
ผมก็เหมือนกับคนไทยส่วนใหญ่ที่ติดตามข่าวต่างๆ แต่ผมไม่นึกถึงคำว่า “ไม่ชอบธรรม” ที่ผู้คนใช้กันมากเมื่อพูดถึงคลิปที่น่าสยดสยองชิ้นนี้ เพราะผมคิดว่ามันเลยจุดนั้นมาแล้ว ตั้งแต่ยอมให้ลูกสาวของอดีตนายกฯประเทศไทย หรือสถานะหนึ่งคืออดีตนักโทษ มาเป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศ โดยที่ไม่มีคุณสมบัติด้านใดเลยที่เหมาะสม
ผมกลับไปนึกถึงคำว่า “กำพืด” ซึ่งพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสภาให้คำจำกัดความไว้ว่า “เทือกเถา, เผ่าพันธุ์” เวลาพูดถึงคำนี้เรามักจะนึกถึงการสืบสายในเผ่าพันธุ์ วงศ์ตระกูล
ด้านความเป็นมา และกระทั่งอุปนิสัยใจคอ ราชบัณฑิตยังขยายความไว้อีกหน่อยว่า มักใช้เป็นทำนองหยาม เช่น รู้กำพืด
และถึงตอนนี้ก็น่าจะรู้แล้วว่า กำพืดใครเป็นยังไง
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี