ขณะนี้ ขบวนการผลักดันให้เกิดการยกเลิก เปลี่ยนแปลง แก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กำลังทำงานกันอย่างคร่ำเคร่ง ร่วมมือกันทั้งพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง มวลชน และนักวิชาการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ห้ามทำ แค่ในการ “ร่วมกันกระทำ” มันมี “ความคิดบิดเบี้ยว” ห่อหุ้มอยู่มาก มากเสียจนควร “ถลก” ออกมาดูกันให้กระจ่าง
1) เพจเฟซบุ๊ค “ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ออกแถลงการณ์คณาจารย์นิติศาสตร์ เรื่อง “คำสั่งศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว” มีเนื้อหาดังนี้...
หลักประกันสิทธิอันสำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา คือ การที่ศาลต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ และด้วยเหตุดังกล่าว ศาลจะพิพากษาจำเลยว่ามีความผิดได้ ก็ต่อเมื่อศาลได้รับฟังพยานหลักฐานจนสิ้นข้อสงสัยตามสมควร ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ซึ่งกระบวนการรับฟังพยานหลักฐานนั้น ต้องชอบด้วยกฎหมายทั้งในเชิงเนื้อหาและรูปแบบ
สิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าวนี้ ได้ถูกรับรองไว้อย่างชัดเจนในกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) อันเป็นหนึ่งในกฎหมายระหว่างประเทศฉบับที่สำคัญที่สุด และไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 และสิทธิดังกล่าวยังได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 29 วรรค 2 และในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227
สิทธิที่จะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มีขึ้นเพราะกฎหมายอาญาเป็นดาบสองคม ที่รัฐอาจใช้ได้ทั้งเพื่อจัดการผู้กระทำความผิด และทิ่มแทงประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งรวมทั้งประชาชนที่ใช้สิทธิตามกฎหมายไปในทางที่ขัดแย้งกับรัฐบาล ดังนั้น ศาลในฐานะหนึ่งในเสาหลักแห่งอำนาจอธิปไตยจึงต้องเป็นผู้คุ้มครองสิทธิของประชาชน ซึ่งประชาชนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะประชาชนที่เป็นผู้เสียหายแต่ยังรวมถึงประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดอาญาอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกละเมิดสิทธิโดยอำนาจรัฐ หากศาลไม่ยึดถือหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ปกป้องประชาชนจากรัฐบาล (who guards the guardians?)ศาลที่เป็นอิสระ (independence) และเที่ยงธรรม(impartiality) จึงต้องวางใจเป็นกลาง ไม่เชื่อหรือมีอคติตั้งแต่ต้น ว่าจำเลยกระทำความผิด จนกว่าจะได้รับฟังพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนจากทุกฝ่ายจนไม่มีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหา โดยไม่มีอำนาจหรือสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้น
แม้ว่ารัฐจะมีหน้าที่พื้นฐานอีกประการ คือหน้าที่ในการสอบสวนและนำตัวผู้กระทำความผิดอาญามาลงโทษ แต่รัฐต้องหาสมดุลระหว่างหน้าที่พื้นฐานนี้กับหลักการสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อให้รัฐสามารถดำเนินการเพื่อค้นหาและลงโทษผู้กระทำความผิดได้ โดยผู้ที่ถูกกล่าวหาต้องไม่ถูกกระทบสิทธิเกินสมควร ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าการควบคุมตัวจำเลยระหว่างการพิจารณาคดีจึงเป็นมาตรการทางกฎหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่การควบคุมตัวต้องทำอย่างได้สัดส่วนและด้วยความจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น กล่าวคือ การคุมตัวในชั้นก่อนพิจารณาคดีและระหว่างพิจารณาคดีต้องทำในเวลาจำกัดไม่ปล่อยเนิ่นช้าจนเกินไป และต้องไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการควบคุมตัวจำเลยไว้
ทั้งนี้ ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 107 และ 108/1 “จำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว” โดย “การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อ” เหตุใดเหตุหนึ่งตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ บทบัญญัติกฎหมายนี้แสดงให้เห็นว่า การไม่ปล่อยตัวชั่วคราวนั้น โดยหลักทำไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุผลตามที่มาตรา 108/1 กำหนด อันได้แก่ การหลบหนีการไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน การไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หลักประกันไม่น่าเชื่อถือ หรือเป็นอุปสรรคการการสอบสวนหรือพิจารณาคดี จะเห็นได้ว่า เหตุทั้งห้าประการนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นกรณีที่มีพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าจำเลยจะไปทำอะไรในอนาคต ไม่ใช่เพราะจำเลยได้กระทำความผิดใดตามที่ได้ถูกกล่าวหา ความประพฤติของจำเลยที่พิสูจน์แล้ว อาจนำมาใช้ชั่งน้ำหนักในการพิจารณาสั่งปล่อยตัวชั่วคราว เพียงในฐานะที่เป็นข้อบ่งชี้ประกอบถึงสิ่งที่จำเลยอาจจะไปทำสิ่งใดในอนาคตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งคำร้องที่ ปอ 61/2564 โดยมีการให้เหตุผลที่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวส่วนหนึ่งว่า“การกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยที่ 3ขึ้นปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และมีลักษณะชักนำประชาชนให้ล่วงละเมิดต่อกฎหมายของแผ่นดิน” ซึ่งถ้อยคำลักษณะเดียวกันนั้นปรากฏในคำสั่งคำร้องที่ ปอ 62/2564 และ ปอ 63/2564 ที่ศาลได้อ่านในวันเดียวกันด้วย
การให้เหตุผลของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดคำถามว่า มีความสอดคล้องกับหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์เพียงใด เพราะการให้เหตุผลลักษณะ
ดังกล่าว ทำให้เข้าใจได้ว่า ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามที่ถูกฟ้องไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ว่า 1.จำเลยทำจริงหรือไม่ 2.การกระทำของจำเลยเข้าองค์ประกอบความผิดหรือไม่ และ 3.จำเลยมีอำนาจกระทำตามกฎหมายหรือไม่เมื่อยังไม่ได้มีการพิจารณาสืบพยานจนสิ้นข้อสงสัยการวินิจฉัยการกระทำของจำเลยและหยิบข้อวินิจฉัยมาเป็นเหตุผลในการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงขัดต่อหลักสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ขัดแย้งกับพันธกรณีที่ไทยมีต่อนานาประเทศ ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และขัดแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันล้วนแต่เป็นกฎหมายคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาข้างต้น คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ ดังมีรายนามแนบท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ ขอเรียกร้องให้ผู้พิพากษาทุกท่านได้ยึดมั่นในหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักการของกฎหมายอย่างซื่อตรงและเป็นธรรม และเป็นเสาหลักที่มั่นคงในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในสภาวะที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติรอบด้านและประชาชนจำนวนมากมองเห็นศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย
2) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง จดหมายเปิดผนึกถึงคณาจารย์คณะนิติศาสตร์และนายปริญญา เทวานฤมิตรกุลอย่าชี้นำสังคมให้เห็นผิดเป็นชอบ มีเนื้อหาระบุว่า
...ได้อ่านแถลงการณ์คณาจารย์นิติศาสตร์ และความเห็นของนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง คำสั่งศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว 4 แกนนำม็อบราษฎรที่เรียกร้องให้ผู้พิพากษาทุกท่านได้ยึดมั่นในหลักการสันนิษฐานไว้ก่อน ว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักการของกฎหมายอย่างซื่อตรงและเป็นธรรมแล้ว รู้สึกสังเวชใจ ไม่คิดว่านี่คือความเห็นของอาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ที่ชี้นำสังคมแบบผิดๆ หยิบยกเหตุผลและหลักกฎหมายมาอธิบายไม่หมด ขัดกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ปรากฏอยู่ในคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ได้ใช้ดุลพินิจโดยรอบคอบ คำนึงถึงความยุติธรรมโดยรอบด้านเกี่ยวกับพฤติการณ์ของม็อบราษฎร ที่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันกระทำผิดซ้ำๆ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง เหยียบย่ำสถาบันกษัตริย์อันเป็นสถาบันหลักของชาติทุกวี่ทุกวัน และยังมีท่าทีหรือเป้าหมายสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญกระทำกันอย่างโจ่งแจ้งเป็นความผิดซึ่งหน้าต่อคนทั้งประเทศ จนแทบไม่จำเป็นต้องสืบหาพยานหลักฐานใดๆ อีก
...ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า 1.จำเลยทำจริงหรือไม่2.การกระทำของจำเลยเข้าองค์ประกอบความผิดหรือไม่ และ 3.จำเลยมีอำนาจกระทำตามกฎหมายหรือไม่ ดังที่นายปริญญาตั้งคำถาม
...การใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจึงชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามป.วิอาญา มาตรา 108 ตาม (1) ความหนักเบาแห่งข้อหา (3) พฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร (6) ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใดหรือไม่ด้วยแล้ว ไม่ใช่อธิบายเฉพาะหลักสิทธิในการได้รับการประกันตัวตามมาตรา 107 และมาตรา 108/1 ที่นายปริญญากับพวกหยิบยกเฉพาะในส่วนที่เป็นคุณแก่ม็อบข้างเดียว โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้ถูกกระทำ และความปลอดภัยของสังคมโดยรวมที่ต้องได้รับการคุ้มครองไม่ต่างกัน
“คำแถลงการณ์ที่ไม่เห็นด้วยต่อคำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวของกลุ่มคณาจารย์คณะนิติศาสตร์และนายปริญญา ถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดีของศาล ชี้นำสังคมเข้าใจผิดว่าศาลใช้ดุลพินิจมิชอบ เป็นสิ่งที่ไม่บังควร หากเห็นแย้งก็ควรใช้สิทธิทางศาลตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศาลผ่านสื่อให้สังคมเห็นผิดเป็นชอบ” นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย
3) วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ผศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่สาวของ จอห์น วิญญู โพสต์เฟซบุ๊คระบุข้อความว่า ประกาศ :ขอความร่วมมือในการ call out ผู้บริหารมหาวิทยาลัย
ด้วยเหตุที่นับวันก็ยิ่งมีนิสิตนักศึกษาถูกหมายเรียก หมายจับ หมายศาล สารพัดหมายเรียกไม่ถูกอันเนื่องมาจากประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มากขึ้น และเกิดความสงสัยไม่แน่ใจในจุดยืนของสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยควรเดินเรื่องประกันตัวหรือไม่ หรือเป็นหน้าที่ของคณะ หรือองค์กรเห็นด้วยกับ ม.112 จึงปล่อยให้อาจารย์ที่ไม่เห็นด้วยไปประกันในฐานะปัจเจกและค่อนข้างตามมีตามเกิด อิฉันจึงเห็นสมควรต้อง call out ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย และทุกคณะให้ออกมาให้คำตอบกับสังคมว่า “เอา” หรือ “ไม่เอา” ม.112
คำถามนี้มีคำตอบให้เลือกแค่ 2 อย่างคือ “เอา” หรือ “ไม่เอา” ไม่ต้องมาบอกว่าองค์กรมีความหลากหลายเพราะเราอยากรู้ว่าตัวอธิการบดีแต่ละมหาวิทยาลัย และคณบดีแต่ละคณะ “เอา” หรือ “ไม่เอา” แค่นั้น และถ้าจะบอกว่า “เอา แต่ไม่อยากให้ใช้พร่ำเพรื่อ” สิ่งนี้ก็มีความหมายแค่เท่ากับ “เอา” หรือถ้าบอกว่า “ไม่เอาแต่ไม่ได้แปลว่าไม่รักเจ้า” ก็แค่แปลว่า “ไม่เอา” อยู่ดี เอาแค่นี้เบสิกมากไม่ต้องการคำอธิบาย แก้ตัว disclaimer เหยียดยาว เป็นถึงระดับผู้บริหารแล้วคำถามเบสิกแค่นี้ต้องตอบได้
เพราะเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังจะต้องเลือกเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาทั้งหลายเขามีสิทธิที่จะรู้ เขาจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ ถ้าเขาชอบ ม.112 เขาจะได้ไม่ไปเข้าที่ที่ผู้บริหารบอกว่า “ไม่เอา” ม.112 หรือถ้าเข้าไปแล้วผู้บริหารเกิดจะไปประกันนักศึกษาที่โดนคดี ม.112 เขาก็จะได้ไม่ต้องมาประท้วงโวยวายให้มันมากความ
เพราะได้บอกจุดยืนไว้อย่างชัดเจนแล้ว ในทางกลับกันเด็กที่ “ไม่เอา” ม.112 และรู้สึกว่าในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยอาจจะมีเหตุให้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้ก็จะได้เลือกเข้าได้ถูกคณะ หรือถ้าจำเป็นต้องเข้าคณะที่ผู้บริหาร “เอา” ม.112 ก็จะได้เตรียมหาลู่ทางที่จะไม่ต้องรบกวนผู้บริหารมาประกันตัวเวลาที่เขาเกิดมีคดีขึ้นมา เราคิดว่ามันแฟร์สำหรับทุกฝ่าย
และที่สำคัญ สำหรับเราซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ เราอยากได้หลักฐานลายลักษณ์อักษรที่บ่งชี้จุดยืนต่อกฎหมายนี้จากปัญญาชนชั้นนำระดับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในประเทศ ณ เวลานี้ เพราะมันจะเป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคนี้ สำหรับนักประวัติศาสตร์ในอนาคตชั่วลูกสืบหลานแน่นอน
แน่นอนว่าสิ่งนี้เราทำเองไม่ได้ แต่เราคิดว่ามันเป็นแคมเปญที่จะมีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม เราจึงอยากชี้ชวนให้นิสิตนักศึกษา ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน ตลอดจนน้องๆนักเรียนชั้นประถม มัธยม ที่จะกลายเป็นนิสิตนักศึกษาในอนาคตทั่วประเทศช่วยกันออกมาผลักดัน call outผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ท่านรักหรือสนใจโดยพร้อมเพรียงกัน จักเป็นพระคุณยิ่ง
4) ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ อาจารย์วาสนาแกไม่ได้ขออะไรมาก แกแค่อยากเห็นชัดๆ ว่าใครจะเอาไม่เอากับม.112 เท่านั้นเอง ซึ่งเข้าใจแกได้ เพราะแกมีพ่อแม่พี่น้องที่ชัดเจนโจ่งแจ้งในเรื่องนี้ แกก็เลยคิดว่า ทำไมคนอื่นมันไม่ประกาศให้ชัดๆ ออกมาละกระมัง
ในความเห็นผม เรื่องนี้ควรเป็นเรื่องปัจเจกครับ ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยนั้น ไม่ควรถูกคุกคามบังคับให้ต้องแสดงออก เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวโยงอะไรกับความเป็นสถาบันการศึกษาและความเป็นครูบาอาจารย์โดยตรง
ในเมื่อนิสิตนักศึกษา ออกไปกระทำในฐานะปัจเจกบุคคล มหาวิทยาลัยมีพันธะใดที่จะต้องตามไปประกันตัวพวกเขาล่ะครับ? อาจารย์วาสนามีอัธยาศัยจะเอาตำแหน่งทางวิชาการไปประกันตัวใคร นั่นเป็นสิทธิและความชอบที่อาจารย์ทำได้ แต่อย่าไปคุกคามจุดยืนและท่าทีของคนอื่นเขา ให้มันเป็นสิทธิ เป็นดุลยพินิจของเขาจะดีกว่า
อย่าเอารสนิยมส่วนตัวทางการเมืองไปยัดเยียดให้ทุกคน ทุกสิ่ง ทุกหน่วยงาน และทุกเรื่องเลยครับ นักเรียนที่เขาอยากเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นนักดนตรีเป็นพยาบาล เป็นเภสัชกร เขาต้องมาวุ่นวายกับรสนิยมทางการเมืองของพวกคุณด้วยหรือครับ สถาบันการศึกษามีหน้าที่ให้การศึกษาแก่คน จำต้องเอารสนิยมทางการเมืองมากำหนดคัดแยกผู้เรียน ผู้สอนด้วยหรือครับ
นี่มันประชาธิปไตยบ้าบออะไรกัน?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี