เมื่อวานนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือศาลปราบโกงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อท.254/2561 คดีทุจริตเงินทอนวัด ที่มีนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นายบุญเลิศ โสภา อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา จ.ลำปาง นายแก้ว ชิดตะขบ อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา และพระพรหมดิลก (นายเอื้อน กลิ่นสาลี) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา และอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-5
คดีนี้ เป็นการทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรณีเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ปีงบประมาณ 2557 วงเงิน 5 ล้านบาท ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 162 ประกอบมาตรา 83, 86
ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุก อดีตพระพรหมดิลก (นายเอื้อน กลิ่นสาลี) ยื่นอุทธรณ์คดี ส่วนจำเลยอื่นๆ ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์
1. ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ประเด็นที่พระพรหมดิลก ยื่นอุทธรณ์นั้น ฟังไม่ขึ้น
ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 8,000 บาท (รอลงอาญาไว้มีกำหนด 1 ปี)
คดีนี้ ศาลปราบโกง (ชั้นต้น)พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ส่วนพระพรหมดิลก จำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำผิด มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จำคุก 1 ปีและปรับ 12,000 บาท โดยจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 ให้การเป็นประโยชน์ในชั้นพิจารณาคดีอยู่บ้างเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4 คนละ 12 เดือน สำหรับจำเลยที่ 5 คงจำคุก 8 เดือนและปรับ 8,000 บาท (รอลงอาญา)
2. นายอรรณพ บุญสว่าง ทนายความของพระพรหมดิลก กล่าวว่า เบื้องต้นทนายความปรึกษากันแล้ว จะยื่นเรื่องขอสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป
ทนายบอกว่า ลูกความยังมีคดีเกี่ยวกับกรณีเงินทอนวัดอีก 2 คดี คือกรณีถูกกล่าวหาว่าฟอกเงิน ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องไปแล้วเมื่อเดือน ก.ย. 2563 โดยอัยการไม่ยื่นฎีกา คดีจึงถึงที่สุดแล้ว ส่วนคดีแพ่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน 1.6 ล้านบาทนั้น คดียังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
กรณีของอดีตพระพรหมดิลก นับว่ากรรมยังไม่สิ้นสุด
3. น่าสนใจว่า คดีฟอกเงินนั้น ทำไมอัยการไม่ยื่นฎีกา?
คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท. 196/2561 ศาลชั้นต้นเคยพิพากษาความผิดฟอกเงิน จำคุก 6 เดือน
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เคยพิพากษาว่า คดีหมายเลขดำที่ อท.196/2561 ที่มีนายเอื้อน กลิ่นสาลี (อดีตพระพรหมดิลก) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กับนายสมทรง อรรถกฤษณ์ (อดีตพระอรรถกิจโสภณ) และอดีตเลขาฯเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-2 กรณีถูกกล่าวหาว่าฟอกเงินจากการทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้กับวัดสามพระยา จำนวน 5 ล้านบาท ในงบอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งที่ไม่มีโรงเรียน โดยเจ้าอาวาสวัดสามพระยานำงบที่ได้มานั้นไปใช้ก่อสร้างอาคารร่มธรรมแทน ทั้งที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินนั้นมาตั้งแต่แรก
การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดต่างกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายมาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันฟอกเงิน 2 กระทง กระทงละ 2 ปี ให้จำคุกนายเอื้อน หรืออดีตพระพรหมดิลก รวมจำคุก 6 ปี และนายสมทรง หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ จำเลยที่ 2 จำคุก 2 กระทงกระทง กระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี
ต่อมา เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นยกฟ้องจำเลยที่ 1-2 ดังกล่าว
โดยระบุว่า แม้วัดสามพระยาไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม และไม่ได้นำเงินไปใช้โดยตรง ก็ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนทรัพย์สินที่เป็นการกระทำความผิดมูลฐานฟอกเงิน ชี้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวกับสำนักงาน พศ. ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยทราบว่าเงินเกี่ยวกับการกระทำความผิด
น่าแปลกใจว่า โดยปกติ คดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกถึง 6 ปี ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นยกฟ้อง อัยการในฐานะทนายแผ่นดิน เป็นโจทก์ ก็ควรที่จะยื่นฎีกาต่อไป เพื่อให้ศาลสูงสุดได้ชี้ขาด
แต่ปรากฏต่อมาว่า ฝ่ายอัยการไม่ได้ยื่นฎีกา!!!!
เมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่งจะมีข่าวว่า นายโกศล ใสสุวรรณ ทนายความของอดีตพระพรหมดิลก ได้ทำคำร้องขอออกหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เนื่องจากพนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 โจทก์ มิได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย คดีจึงถึงที่สุดแล้ว อดีตพระพรหมดิลก จึงมีความประสงค์ขอให้ศาลออกหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ต่อมา เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2564 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ออกใบสำคัญคดีถึงที่สุด ระบุว่า “ใบสำคัญฉบับนี้ออกให้ไว้เพื่อแสดงว่า คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.196/2561 หมายเลขแดงที่ อท.122/2562 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน จำเลย เรื่อง ความผิดต่อพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2563 คดีจึงถึงที่สุด”
คำถามสำคัญที่สำนักงานอัยการสูงสุดควรจะต้องมีคำอธิบายชี้แจงต่อสังคม ไม่ใช่เงียบไปเฉยๆ คือ เหตุใด คดีความผิดฐานฟอกเงินนี้ อัยการไม่ยื่นฎีกา ภายหลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เพราะศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด จำคุกถึง 6 ปี !!!!
ถ้าอัยการไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน มีเหตุมีผล ก็น่าวังเวงยิ่งนักแล้ว เพราะกรณีลักษณะนี้ ในยุคนี้ ไม่ใช่มีแค่กรณีนี้เท่านั้น!!!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี