เมื่อจับได้คาหนังคาเขาว่าดุษฎีนิพนธ์ (dissertation) ฉบับหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อบกพร่องทางวิชาการ เพราะผู้ทำดุษฎีนิพนธ์รายหนึ่งถูกสาธารณชนวิพากษ์ว่าจงใจใช้ข้อมูลเท็จ ย้ำว่าจงใจใช้ข้อมูลเท็จ เพราะถูกเจ้าของข้อมูลที่ผู้ทำดุษฎีนิพนธ์อ้างออกมาประกาศต่อสาธารณชนแล้วว่า เนื้อหาที่นำไปกล่าวอ้างนั้นเป็นความเท็จ แต่ทว่าคณะกรรมการสอบดุษฎีนิพนธ์ และที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ฉบับนั้นอาจจะไม่มีปัญญารู้ว่ามีข้อมูลเท็จอยู่ในเอกสารดังกล่าว หรืออาจจะรู้ว่ามีเอกสารเท็จอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังจงใจปล่อยให้มีข้อความเท็จปรากฏอยู่ในเอกสารต่อไป
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ก็มีคำถามจากสังคม (โดยเฉพาะคนที่สนใจเรื่องนี้) ว่า ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนั้นยังคงเป็นผลงานวิชาการที่น่าเชื่อถือได้ครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์อีกหรือไม่ หรือว่า ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากมายนัก ก็แค่ตัดข้อความเท็จออกไปก็สิ้นเรื่อง แล้วก็ยังคงปล่อยให้ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนั้นดำรงอยู่ต่อไปในโลกของวิชาการ
อันที่จริง หากจะพูดกันตรงๆ แล้ว ในสังคมไทยของเรานี้มีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์อย่างมาก เพราะคนจำนวนไม่น้อยต้องการมีปริญญาบัตรมากกว่าต้องการมีปัญญาที่แท้จริง ดังนั้นเราจึงพบเห็นเสมอๆ ว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งทำตัวเป็นสถานที่ขายใบปริญญาบัตรชนิดต่างๆ เช่น ตรี โท และเอก รวมถึงเหล่าบรรดาปริญญากิตติมศักดิ์อีกด้วย เพื่อแลกกับเงินก้อนหนึ่งที่จะสามารถทำให้กิจการของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นดำเนินต่อไปได้ หรือไม่ก็เพื่อให้คนบางคนในมหาวิทยาลัยเหล่านั้นมีความร่ำรวยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราจึงไม่ต้องประหลาดใจที่เมืองไทยมีการว่าจ้างทำงานวิชาการ เช่น ภาคนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ แม้กระทั่งรับจ้างทำการบ้าน และรับจ้างทำเอกสารวิชาการ ในหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนสารพัดหลักสูตรที่เปิดกันเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน ทั้งนี้ยังไม่นับรวมถึงการมีขบวนการปลอมวุฒิการศึกษา ปลอมปริญญาบัตร และปลอมวุฒิบัตรต่างๆ อีกมากมาย นั่นเป็นเพราะสังคมไทยยังมีคนที่ต้องการเปลือกจอมปลอมนำไปห่อหุ้มตัวเอง เพื่อตบตาชาวประชาให้หลงเชื่อว่าตนคือผู้ทรงภูมิ ทรงความรู้ ทั้งๆ ที่ตนเองรู้ดีว่าตัวเองนั้นกลวงและปลอม
แต่สำหรับดุษฎีนิพนธ์ของณัฐพล ใจจริง ที่นำเสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในส่วนของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปีการศึกษา 2551 ชื่อหัวข้อคือ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของคนจำนวนมิใช่น้อยในสังคมในขณะนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องของดุษฎีนิพนธ์ปลอม หรือกระบวนการขายปริญญาบัตร แต่ประการใด แต่มีประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ กระบวนการทำดุษฎีนิพนธ์ของจุฬาฯ มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด คนที่รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ของจุฬาฯ มีความน่าเชื่อถือในทางวิชาการมากน้อยเพียงใด และคณะกรรมการพิจารณาดุษฎีนิพนธ์ของจุฬาฯ ทั้งระบบมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
แน่นอนว่า หากจะพูดแบบง่ายๆ คือณัฐพล จริงใจ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ไปแล้ว เพราะได้รับใบปริญญาบัตรไปแล้ว และทางบัณฑิตวิทยาลัยของจุฬาฯ ก็ได้อนุมัติให้ณัฐพลสำเร็จการศึกษาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่ามีประเด็นใหญ่และสำคัญตามมาคือ เมื่อมีการตรวจพิสูจน์แล้วพบหลักฐานชัดเจนยืนยันว่าณัฐพลอ้างอิงเนื้อหาในดุษฎีนิพนธ์ผิดไปจากความเป็นจริง แล้วที่สำคัญคือณัฐพลก็ออกมายอมรับความผิดพลาดนั้นเรียบร้อยแล้ว คำถามคือจะเอาอย่างไรกับดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้ จะตีตกไปทั้งฉบับ จะริบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกลับคืนจากณัฐพล หรือจะให้แก้ไขส่วนใดส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์นั้น
เรื่องนี้อาจไม่เป็นที่สนใจมากมายนักของคนภายนอกจุฬาฯ หรือคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ กับเรื่องการศึกษาระดับปริญญาเอกแต่สำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับสาระเชิงวิชาการอย่างจริงจัง ต่างมีความเห็นไปคนละทิศละทาง บางกลุ่มบอกว่าต้องนำดุษฎีนิพนธ์นี้กลับมาแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ไม่จำเป็นต้องริบปริญญาบัตรกลับคืน เพราะผู้ทำดุษฎีนิพนธ์อาจบกพร่องโดยสุจริต และถ้าหากพิสูจน์แล้วไม่พบว่าส่วนที่ผิดพลาดมีผลสำคัญต่อผลการศึกษาโดยรวมของดุษฎีนิพนธ์ ก็ไม่ถือเป็นความร้ายแรงประการใด
แต่อีกฝ่ายหนึ่งโต้กลับว่า การสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวอ้างอิงในดุษฎีนิพนธ์ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือทางวิชาการอีกต่อไป แล้วถ้าหากจับได้ว่าผู้อ้างอิงจงใจใช้ข้อความเท็จเพื่ออ้างอิงก็ยิ่งจำเป็นต้องตีตกดุษฎีนิพนธ์นั้นโดยพลัน แล้วสมควรต้องริบปริญญาบัตรคืนโดยทันทีด้วย ส่วนการที่ผู้จงใจอ้างอิงหลักฐานเท็จถูกระบุว่าสำเร็จการศึกษาไปแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นโมฆะทันที เพราะถือว่าผู้อ้างข้อมูลเท็จได้กระทำผิดสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว
เรื่องดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้ กลับมาเป็นประเด็นของสังคม (เฉพาะกลุ่ม) อีกครั้ง ขอย้ำว่าเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เพราะเรื่องนี้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่ได้ให้ความสำคัญมากมายแต่ประการใด ยกเว้นคนจุฬาฯ บางกลุ่มเท่านั้นที่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญกับคนทั่วไป แต่ขอย้ำว่าคนทั่วไปไม่สนใจหรอกว่าจุฬาฯ จะมีดุษฎีนิพนธ์ที่เลิศเลอ หรือดุษฎีนิพนธ์ที่หาสารประโยชน์มิได้ เพราะชีวิตของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดุษฎีนิพนธ์ใดๆ ของจุฬาฯ แล้วก็ไม่เคยเชื่อว่าจุฬาฯ คือเสาหลักของแผ่นดิน
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่เกิดขึ้นล่าสุดคือคนกลุ่มหนึ่ง จำนวน 279 คน เข้าชื่อกันในจดหมายเปิดผนึกถึงจุฬาฯ โดยอ้างว่าแสดงความห่วงใยกับการดำเนินการต่อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ทำโดย ณัฐพล จริงใจ ซึ่งในจำนวนนี้มีคนสอนหนังสือและทำวิจัยในจุฬาฯ 30 ราย โดยมาจากคณะต่อไปนี้ รัฐศาสตร์ 13 ราย (บางคนก็ไม่ได้สอนหนังสือแล้ว) จากคณะอักษรศาสตร์ 10 ราย นิเทศศาสตร์ 3 ราย นิติศาสตร์ 1 ราย วิทยาศาสตร์ 1 รายครุศาสตร์ 1 ราย และสถาบันเอเชียศึกษา 1 ราย ส่วนชื่ออื่นอีก 249 คนก็มาจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ และจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยด้วย
จดหมายเปิดผนึกติดแฮชแท็กว่า จุฬาฯ ต้องปกป้องเสรีภาพและมาตรฐานทางวิชาการ ก็เลยทำให้คนอื่นๆ ในสังคมเกิดความสงสัยว่า การตั้งกรรมการสอบเรื่องนี้ มันละเมิดเสรีภาพและเป็นภัยต่อมาตรฐานทางวิชาการตรงไหน หรือคนที่ลงชื่อเหล่านี้ไม่รู้มาก่อนเลยว่าดุษฎีนิพนธ์นี้มีข้อผิดพลาด แล้วก็มีคำถามตามมาอีกว่า หากไม่มีใครออกมาระบุว่ามีข้อผิดพลาดในดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้ แล้วณัฐพลจะออกมายอมรับหรือไม่ว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ที่สำคัญที่วิญญูชนค้างคาใจคือ เหตุใดณัฐพลจึง citation หรือ citing ไปที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร แล้วดัน citing ผิด โดยน่าสังเกตว่าณัฐพลอ้างว่า The Bangkok Post ลงข้อความที่ตนเองอ้างไว้ แต่ The Bangkok Post ยืนยันว่าไม่มีคำอ้างใดๆ ตามที่ณัฐพลยกไปใส่ไว้ในดุษฎีนิพนธ์ของตน แล้วมีคำถามอีกว่า ณัฐพลอ้างมาจากไหน ในเมื่อไม่มีใน The Bangkok Post แล้วเหตุใดระบุว่ามาจากหนังสือพิมพ์ชื่อดังกล่าว
ส่วนที่คนซึ่งลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกอ้างว่างานวิชาการมีข้อผิดพลาดได้ และขอให้ยอมรับว่าหากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้เนื้อหาหลักของงานวิชาการผิดเพี้ยนไปก็ต้องยอมรับงานนั้นต่อไป คำอ้างนี้ก็น่ารับฟังอยู่หรอก แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ ถ้าหากความผิดพลาดนั้นเกิดจากความจงใจของผู้ทำวิจัย เรื่องแบบนี้จะยังถือว่าไม่มีผลกระทบต่องานวิชาการได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้มีใครเคยถามณัฐพลหรือไม่ว่าจงใจให้เกิดข้อผิดพลาด หรือว่าผิดพลาด (บกพร่อง) โดยสุจริตอย่างแท้จริง มีใครกล้ารับรองหรือไม่ว่าณัฐพลตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำข้อผิดพลาดนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ส่วนข้ออ้างที่ว่าความรู้วิชาการเปลี่ยนแปลงได้นั้น ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ต้องไม่ได้เกิดมาจากการจงใจบิดเบือนโดยผู้วิจัย ส่วนเรื่องที่ณัฐพลมีแนวคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่นั้น ไม่มีใครตอบได้ ยกเว้นเจ้าตัวเท่านั้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าข้อความจากดุษฎีนิพนธ์ของณัฐพลถูกคนกลุ่มที่คนไทยจำนวนหนึ่งมองว่ามีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นำไปใช้โดยตลอด ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องถามต่อไปว่า ทำไมคนที่จงใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จึงจงใจเลือกงานส่วนนั้นของณัฐพลไปใช้
ประเด็นสุดท้ายของจดหมายเปิดผนึกคือการตั้งกรรมการสอบเรื่องนี้โดยจุฬาฯ ไม่ได้ช่วยส่งเสริมเสรีภาพทางวิชาการในจุฬาฯ แต่สร้างความหวาดกลัวทางวิชาการมากกว่า เรื่องนี้ถือเป็นข้ออ้างที่แสนเลื่อนลอย เพราะคนทำงานวิชาการที่แท้จริงต้องจำไว้เสมอว่า หากยังไม่มีความมั่นคงในข้อมูลที่นำเสนอในงานวิชาการใดๆ ก็ต้องไม่นำเสนอ ไม่ใช่ผลีผลามนำเสนอ แล้วชักเข้าชักออก ซึ่งเข้าตำราหลอกด่าผู้อื่นไปก่อน ครั้นเมื่อถูกจับได้ก็ค่อยมาชักออก งานแบบนี้ไม่ถือเป็นงานวิชาการแต่ถือเป็นเรื่องน่าละอายมากกว่า
ข้ออ้างเรื่องเสรีภาพทางวิชาการต้องอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ อย่าอ้างแค่อิสระในการแสดงความคิดเห็นโดยปราศจากความรับผิดชอบ เพราะจะไม่ต่างไปจากพวกผีเจาะปาก การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในเชิงวิชาการนั้น เป็นเรื่องที่กระทำกันมาโดยตลอดในจุฬาฯ เรื่องเช่นนี้บุคคลในพระราชวงศ์ชั้นสูงทรงทราบดีมาโดยตลอด แต่การตั้งเป้าล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับอ้างว่าวิพากษ์วิจารณ์เชิงวิชาการ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถตบตาสังคมได้
คนสอนหนังสือในจุฬาฯ รวมถึงในมหาวิทยาลัยอื่นๆ กรุณาเลิกคิดว่าตัวเองฉลาด ก้าวหน้า และลึกล้ำกว่าคนอื่นเสียเถอะ เลิกอ้างความผิดพลาดทางวิชาการ เพราะคนรู้ทันเขาไม่เชื่อ แต่เขารู้ดีว่าพวกคุณไม่สนับสนุนให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เลิกหลอกลวงสังคมด้วยการสวมหัวโขนนักวิชาการเสียทีเถอะ ขอย้ำว่าคนอื่นไม่ได้โง่กว่าคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี