ในประเทศที่เจริญแล้ว มีอารยธรรม และมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มักจะมีการยอมรับ ให้เกียรติ และเห็นคุณค่าต่อองค์กรที่มิใช่รัฐ หรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (Non-Governmental Organization - NGO, Not-for-Profit Organization - NPO) หรือองค์กรภาคประชาสังคม (Civil Society Organization - CSO)โดยเห็นว่าองค์กรเหล่านี้เป็นของและมาจากประชาชน และทำกิจการงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของสังคม มิได้มีเจตนาแอบแฝงเพื่อหาประโยชน์เข้าตน งานต่างๆ จึงเป็นงานอาสาสมัครมาร่วมกันด้วยใจ ด้วยจิตสำนึกต่อส่วนรวมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งมิได้พึ่งพาทุนทรัพย์ของรัฐหรือภาษีของประชาชนพลเมืองเพื่อการบริหารจัดการ และดำเนินการกิจการต่างๆ ด้วยเงินบริจาคเป็นหลัก แม้บางครั้งอาจจะรับจ้างทำโครงการให้กับฝ่ายรัฐก็ตาม แต่ก็จะเป็นไปด้วยความระมัดระวังว่า จะต้องไม่ตกไปเป็นเครื่องมือและกลไกทางการเมือง
ส่วนประเทศที่กลัวและรังเกียจองค์กรที่มิใช่รัฐ ก็มักจะมีผู้นำที่เป็นเผด็จการ หรือฝักใฝ่ในอำนาจนิยมที่ไม่ชอบการเห็นต่าง ที่ไม่รับการมีส่วนร่วมและโดยทั่วไปแล้ว มักจะเห็นว่า บรรดาองค์กรที่มิใช่รัฐนั้นเป็นศัตรู หรือคุกคามเสถียรภาพของฝ่ายผู้กุมอำนาจ และยังทำการโจมตีบ่อนทำลาย และหาคะแนนนิยมด้วยการเสริมสร้างความเป็นชาตินิยมว่า องค์กรที่มิใช่รัฐนั้นเป็นมือปืนรับจ้างให้กับต่างประเทศเสมือนเป็นไส้ศึก และไร้ซึ่งความรักชาติบ้านเมืองโดยมิได้มองหรือพินิจพิจารณาว่า องค์กรที่มิใช่รัฐต่างๆ เหล่านั้นต่างมีภารกิจอะไร และเพื่อใคร ซึ่งโดยรวมแล้วบทบาทหน้าที่ขององค์กรที่มิใช่รัฐ ก็เพื่อสาธารณประโยชน์เท่านั้น จะเป็นอื่นมิได้ ซึ่งสาธารณประโยชน์นั้นก็จะเกี่ยวข้องกับทั้งเรื่องสิทธิเสรีภาพทางการเมือง สิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจและการอยู่ดีกินดี และความมั่นคงและปลอดภัยของชีวิตในสังคม ซึ่งในยุคสมัยนี้ก็จะรวมไปถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติแวดล้อมแบบยั่งยืน โดยการเป็นธุระ เป็นหูเป็นตา เป็นผู้ให้บริการให้กับประชาชนพลเมืองที่ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยตัวเองได้ หรือมีพละกำลังไม่เพียงพอ หรือถูกลืมเลือนโดยสังคม และผู้บริหาร ปกครองบ้านเมือง
การทำงานขององค์กรที่มิใช่รัฐเพื่อสาธารณประโยชน์จึงเป็นการช่วยสังคม และช่วยแบ่งเบา หรือเสริมงานของภาครัฐได้ และอีกแง่หนึ่งก็เป็นการช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และมั่นคงของภาคพลเมืองไปด้วย ทั้งในการดำรงชีพและในการมีส่วนร่วมในความเป็นไปของบ้านเมือง
บุคลากรขององค์กรที่มิใช่รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน หรืออยู่กับประชาชน ฉะนั้น เขาจึงรู้ซึ่งอุณหภูมิของสังคม เป็นตัวสะท้อนความเป็นไปในสังคม ซึ่งหากเมื่อฝ่ายผู้ปกครองบ้านเมืองให้ความสนใจและให้เกียรติ ก็จะร่วมเป็นภาคีในการเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติได้
มองอีกแง่หนึ่ง องค์กรที่มิใช่รัฐก็เป็นสถาบันทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจากสถาบันพรรคการเมือง สถาบันราชการ สถาบันภาคธุรกิจ สถาบันสื่อ สถาบันวิชาการต่างๆเป็นต้น ฉะนั้น การยอมรับจึงเป็นเรื่องสำคัญในสังคมประชาธิปไตยที่มีหลายสถาบัน และมีหลายตัว “ผู้เล่นทางการเมือง” และทุกสถาบันต้องร่วมกันสร้างบ้านเมือง
บัดนี้ มีข่าวออกมาว่า รัฐบาลและรัฐสภาไทย จะมีการยกร่างกฎหมาย ว่าด้วยองค์กรที่มิใช่รัฐ หรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า เป็นกฎหมายที่ช่วยพัฒนาส่งเสริมองค์กรที่มิแสวงหากำไร แต่เมื่อเข้าไปดูในสาระเนื้อหาแล้ว เป็นเรื่องของการตีกรอบ ควบคุม กำกับ พร้อมกับบทลงโทษ จึงเท่ากับว่าร่างกฎหมายนี้มิได้มีเจตนาใดๆ ที่จะช่วยพัฒนาและส่งเสริมองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และมีนัยของการบ่งบอกว่า องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรเหล่านี้มีความหมิ่นเหม่ต่อเสถียรภาพและความมั่นคงต่อบ้านเมือง ฉะนั้นจึงต้องอยู่ในอาณัติของทางฝ่ายภาครัฐผู้ปกครองบ้านเมืองก็เท่ากับว่า รัฐบาลชุดนี้และบรรดาสมาชิกรัฐสภา ดูจะไม่นิยมชมชอบ และไม่เป็นมิตรกับองค์กรที่มิได้แสวงหากำไร ทั้งที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง และเป็นตัวแทนของประชาชนพลเมือง หรือมิได้เป็นแต่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ก็ยังอ้างได้ว่ามีเกียรติประวัติในการทำงานให้กับประเทศชาติ และมีประสบการณ์ที่จะนำมาเพื่อช่วยเพิ่มพูนความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติได้ แต่ทั้งฝ่ายคณะรัฐบาลผู้บริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติทั้งหลายกลับกำลังร่วมกันจะออกกฎหมายที่ดูไปในทิศทางของผู้บริหารบ้านเมืองแบบเผด็จการอำนาจนิยม
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรทั้งไทยและเทศ ต่างก็ได้ออกมาประณามและคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างกว้างขวาง เพราะต่างเห็นว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพอย่างสุดซึ้ง และให้อำนาจกับระบบราชการมาควบคุม และลงโทษภาคประชาสังคมและประชาชนได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งความคิดอ่านและการกระทำแบบนี้ยังจะพอเข้าใจได้เกี่ยวกับตัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เติบโตมาในแวดวงราชการทหาร ที่เต็มไปด้วยการบังคับบัญชาและการรับคำสั่ง อีกทั้งยังคุ้นเคยกับการยึดอำนาจรัฐ แต่มาบัดนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาด้วยวิถีทางกึ่งประชาธิปไตย และในขณะเดียวกัน สังคมไทยก็ได้ออกมาเรียกร้องให้ราชอาณาจักรไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ฉะนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ควรจะใช้ตำแหน่งหน้าที่ จิตสำนึก และโอกาสในการขับเคลื่อนให้ราชอาณาจักรไทยมีความเป็นประชาธิปไตยยิ่งๆ ขึ้น โดยยกเลิกร่างกฎหมายฉบับนี้แล้วหันกลับมาร่วมมือเพื่อยกร่างกฎหมายฉบับใหม่ร่วมกับองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรต่างๆ เพื่อร่วมส่งเสริม และพัฒนาองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และกระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร
ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้แทนราษฎรร่วม 500 ชีวิตก็ต้องใส่ใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และแทนที่จะเผอเรอไปร่วมกับฝ่ายอำนาจนิยม ก็น่าจะกลับหลังหันมาเป็นฝ่ายเดียวกันกับภาคองค์กรที่มิใช่รัฐ หรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร หรือองค์กรภาคประชาสังคมโดยทันที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี