หลังจากที่แกนนำคนสำคัญหลายๆ คนเริ่มโดนคดีและต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่กักกัน อีกทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมก็ดูเหมือนเริ่มจะลดน้อยลงทุกวัน จนอาจทำให้หลายๆ คน คิดว่าการชุมนุมหลังจากนี้น่าจะน้อยลง แต่แล้วเหตุการณ์ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น และอาจกลับมาร้อนระอุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากเหตุการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาอดีตแกนนำ นปช. อย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ได้กลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง หลังจากครบกำหนดต้องโทษในคดีปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม เมื่อปี 2550 ไป โดยหลังจากที่เขาได้รับอิสรภาพก็ออกแถลงการณ์ทันทีว่าเขานั้นขออยู่ข้าง “กลุ่มเยาวชน” และประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ ประกอบกับที่นายจตุพร อดีตแกนนำอีกคนก็ประกาศนัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์วีรชนพฤษภา 2535 ในวันที่ 4 เมษายน โดยเป็นการเชิญชวนประชาชนที่ไม่พอใจกับการบริหารงานของรัฐบาล และคนที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ประเด็นคือ หลังจากนี้กลุ่มนำในการต่อต้านรัฐบาล กำลังเปลี่ยนไปหรือไม่ ? และกระแสการเมืองของกลุ่มเดิม ที่บอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่เป็นอย่างไรตอนนี้และกำลังจะเป็นอย่างไรต่อคะแนนเสียงเลือกตั้งในอนาคต
ดูได้จากผลการเลือกตั้งระดับเทศบาลครั้งที่ผ่านมา โดยผลคะแนนที่ออกมานั้นปรากฏว่า มีทั้งที่เป็นไปตามที่คาดไว้คือแชมป์เก่าชนะไป และที่พลิกล็อกสามารถโค่นแชมป์เก่าได้ ก็มีอยู่หลายเขตหลายจังหวัดเช่นกัน แต่สิ่งที่ผิดจากที่คาดไว้คือผู้ที่ลงชิงตำแหน่งภายใต้คณะก้าวหน้า ที่หลังจากผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมา อาจทำให้ใครหลายคนผิดหวังไปอยู่ไม่ใช่น้อย
การเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาล จาก 2,472 ตำบลทั่วประเทศ โดยรอบนี้ ยังไม่มีการเลือก อบต.แต่เป็นที่รู้กันว่า เทศบาลจะเป็นหัวใจสำคัญเป็นที่หมายปองของบรรดานักการเมืองและการเมืองท้องถิ่นเหตุเพราะเทศบาลและระดับของเทศบาลจะต้องมีความหนาแน่นประชากรที่สูงและหรือมีรายได้ที่สูง ซึ่งส่งผลทำให้ได้รับงบประมาณที่จะมาบริหารสูงเช่นกัน
งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมดทั่วประเทศ อย่างปีล่าสุด 54,100 ล้านบาท นั้น โดย กทม. เพียงแห่งเดียวได้รับไป 24,400 ล้าน อบจ.ทั้งหมด 76 จังหวัดได้รับไปรวม 27,700 ล้านบาท เทศบาลและ อบต. 264,739 ล้านบาท (ไม่นับรวมรายได้จากการจัดเก็บภาษีเองและโดยรัฐ)
ส่วนที่เป็นเป้าหมายของบรรดานักการเมืองหน้าใหม่ คือสนามอบต. และเทศบาล ที่มีพื้นที่การเมืองไม่มากแต่มีงบประมาณที่สูงพอจะไปสร้างผลงานในอนาคตสำหรับก้าวต่อไปทางการเมือง
โดยเทศบาลตำบล ประชากรมากแต่รายได้ยังไม่มาก งบประมาณผ่านกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วน เทศบาลเมือง ประชากร 10,000 คนขึ้นไป งบประมาณบริหารที่ได้รับตรงจากรัฐบาลรวม 24,896ล้านบาท ซึ่งเทศบาลตำบลและเทศบาลเมืองก็ยังมีรายได้ที่เก็บได้เองมาบริหารมากกว่าเท่าตัวที่ได้รับจากรัฐขึ้นกับขนาดและความสามารถของแต่ละท้องถิ่น
เทศบาลนคร ประชากร 50,000 คนขึ้นไป งบประมาณบริหารที่ได้รับตรงจากรัฐบาลรวม 13,393 ล้านบาท เฉลี่ยได้รับเทศบาลละประมาณ 400-2,000 ล้าน ยังไม่นับรวมที่ท้องถิ่นเก็บรายได้เองซึ่งมากกว่าเท่าตัวที่ได้รับจากรัฐเช่นกัน โดยประมาณเทศบาลนคร อาจมีงบประมาณรวมบริหาร 1,000-3,000 ล้าน หรือบางที่อาจได้รับมากกว่านั้น ซึ่งในจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สามารถจัดเก็บภาษีได้มากก็จะมีรายได้ที่สูงแตกต่างจากท้องถิ่นระดับเดียวกันที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจด้อยกว่า
โดยรอบนี้พบว่าสนามระดับตำบลเปิดแข่งขันเทศบาลก่อนอบต. ทั้งนี้มีการเข้ามาลงสมัครของนักการเมืองใหม่ ๆ หรือกลุ่มการเมืองใหม่มากขึ้นมาก แต่ก็พบว่ายังมีการอิงกับพรรคการเมืองอยู่เป็นส่วนใหญ่แม้จะตั้งเป็นกลุ่มตามชื่อจังหวัดหรือท้องถิ่นก็ตาม แต่ผลการเลือกตั้งก็พบว่ามีผู้สมัครหน้าใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่ เข้ามามากขึ้นจริงๆ
กล่าวคือตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปของสส.เมื่อปี 2562 ที่ได้มีคนออกมาวิเคราะห์กันแล้วว่า เป็นจุดเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งต่อไปหลังจากนั้นกล่าวคือ ประชาชนหันมาเลือกพรรคการเมืองและนักการเมืองหน้าใหม่ ตลอดจนคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งก็เป็นจริง ที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองหน้าใหม่ได้รับคะแนนรวมกันจำนวนเกือบครึ่ง และเมื่อครั้งการเลือกตั้ง อบจ. และสมาชิกสภาจังหวัดที่ผ่านมาก็พบว่าแม้นายก อบจ. จะมีหน้าเก่าเยอะแต่ก็มีหน้าใหม่ไม่น้อย แต่ สจ.พบว่าเป็นหน้าใหม่จำนวนมาก จนมาถึงการเลือกตั้งเทศบาลครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญพื้นฐานของฐานคะแนนการเมือง ก็มีการประเมินว่า กลุ่มอิสระที่เป็นคนรุ่นใหม่ น่าจะเข้ามาได้มาก
ซึ่งผลการเลือกตั้งออกมาก็เป็นเช่นนั้นจริง ที่มีคนรุ่นใหม่เข้ามามาก และพบการล้มแชมป์ ล้มยักษ์นักการเมืองท้องถิ่นหน้าเดิมในหลายจังหวัด อย่างเช่น กลุ่มเพื่อนเนวิน ที่แพ้ให้กับอดีตรองนายก ที่สนับสนุนโดยคณะก้าวหน้า แต่อย่างไรก็ตามสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมดประชาชนกลับเลือก กลุ่มเพื่อนเนวินให้ชนะทั้งหมด สุดท้ายถ้าไม่บริหารลำบากก็อาจจะต้องมีฝ่ายใดย้ายข้างหรือไม่ ? และเอาเข้าจริงผู้สมัครที่สนับสนุนโดยคณะก้าวหน้าก็ไม่ใช่ผู้สมัครหน้าใหม่แต่เป็นกลุ่มที่แตกออกมา
ทีนี้ลองมาดูทั้งประเทศพบว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีที่ปีนี้จาก 2,472 ตำบล พบว่า แบ่งเป็น สมาชิกสภาเทศบาล 31,194 ตำแหน่ง และนายกเทศมนตรี 2,472 ตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งนายกเทศมนตรี ประกอบด้วย นายกเทศบาลนคร (ทน.) 30 ตำแหน่ง นายกเทศบาลเมือง (ทม.) 195 ตำแหน่ง และเทศบาลตำบล (ทต.) 2,247 ตำแหน่ง นั้น พบว่ากลุ่มการเมืองที่ส่งคนลงโดยระบุชื่อกลุ่มการเมืองชัดๆ หน้าใหม่รอบนี้คือ คณะก้าวหน้า ซึ่งสอดคล้องกับกระแสความสนใจคนรุ่นใหม่
แต่ผลคะแนนที่ออกมาที่ต้องบอกก่อนว่ายังไม่ได้รับการคอนเฟิร์มจาก กกต. และต้องติดตามต่อไปแต่จากข่าวดูเหมือนว่า คณะก้าวหน้าจะได้นายกเทศมนตรีตำบลไปเพียง 12 คน จากจำนวนนายกเทศมนตรีทั่วประเทศที่ 2,472 คน หรือประมาณ 0.5% ของเก้าอี้ทั้งหมด และไม่ได้เก้าอี้นายกเทศมนตรีนคร และนายกเทศมนตรีเมืองแม้แต่แห่งเดียว ?
โดยได้ที่ ลำพูน ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู อุดรธานี มุกดาหาร สมุทรปรากร จังหวัดละ 1-3 คน โดยพบว่าในจังหวัดที่คณะก้าวหน้าเคยชนะเลือกตั้ง สส.ในหลายพื้นที่ กลับไม่ได้นายกเทศมนตรี หรืออย่างจังหวัดที่เชื่อว่ามีกระแสคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบคณะก้าวหน้าอย่างจังหวัดเชียงใหม่ ที่คณะก้าวหน้าคาดหวังจากฐานการเมืองคนรุ่นใหม่ พบว่าจาก 121 ตำบล คณะก้าวหน้าไม่ได้นายกเทศมนตรีแม้แต่เพียงคนเดียว ขณะที่ของเพื่อไทยเองก็ยังสูญเสียเทศบาลที่สำคัญที่สุดคือเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยเทศบาลที่เป็นเมืองที่สุดของเชียงใหม่ อย่างเทศบาลนครเชียงใหม่ ที่มีฐานนักศึกษาที่ต้องย้ายทะเบียนเข้ามาที่มหาวิทยาลัย พบว่าคณะก้าวหน้าได้รับเลือกมาเป็นลำดับที่ 3 ได้เพียง 6,000 คะแนน จากที่ 1 ที่ได้ไป 19,000 คะแนน
เกิดอะไรขึ้นกับคณะก้าวหน้า หรือเกิดอะไรขึ้นกับความคิดประชาชน หรือคนรุ่นใหม่าต่อคณะก้าวหน้า ?
เหตุใดนายกเทศมนตรีกว่าสองพันตำแหน่งทั่วประเทศ คณะก้าวหน้าที่นำโดยนายธนาธร จึงได้มาเพียงเท่านี้ ? โดยเฉพาะคะแนนในเมือง หรืออย่างน้อยเมื่อเทียบกับฐานคะแนน สส.ในจังหวัดต่างๆ ที่เคยชนะเลือกตั้งมา ?
เพราะถ้าย้อนหลังไปดูเมื่อ สองปีที่แล้วกลุ่มของนายธนาธรทำผลงานตอนการเลือกตั้งเมื่อปี’62 กับพรรคอนาคตใหม่ได้ดีมาก ทั้งที่เป็นการเลือกตั้งครั้งแรก แต่กลับมีสมาชิกได้รับเลือกมากเป็นอันดับ 3 เป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 81 เสียง จากทั้งหมด 500 คน โดยเป็น สส.เขตถึง 31 เขต ไม่นับรวมอีกหลายเขตที่ชนะไปหลายอำเภอจนเกือบชนะทั้งเขต ซึ่งการเลือกตั้งเทศบาลครั้งนี้น่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 100 เทศบาล(ไม่นับรวมอบต.) ตามที่ได้ส่งลง 105 ตำบล
แต่หากเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับตอนเลือกตั้งนายก อบจ.และสมาชิกสภา อบจ.เมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ก็อาจไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะไม่ได้รับเลือกนายกอบจ.เลยสักคนจาก 42 จังหวัดที่ส่ง และได้สมาชิกสภาอบจ. ไปเพียง 57 คน จากการส่งผู้สมัครทั้งหมด 1,001 คน และดูเหมือนว่าการเลือกตั้งระดับเทศบาลในครั้งนี้ก็ได้รับผลลัพธ์ที่ผิดคาดขึ้นไปอีก
การเลือกตั้งระดับนายกเทศมนตรีนั้นครอบคลุมเพียงแค่หนึ่งตำบล และมีขนาดเล็กกว่าเขตการเลือกตั้ง สจ. หรือ สส. โอกาสชนะหรือแพ้ จึงเป็นสิ่งที่สามารถประเมินได้มากกว่าเขตเลือกตั้งที่ใหญ่กว่านี้?
กระแสความนิยมของนายธนาธรจริงๆ ตอนนี้เป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นเท่าเดิม หรือลดลง ? หรืออาจต้องถามเพิ่มด้วยว่ากระแสความนิยมในโซเชียลตอนนี้แปลงเป็นคะแนนเลือกตั้งจริงได้เท่าไหร่ ? และคำถามสุดท้าย นักการเมืองที่คนรุ่นใหม่สนใจคือใครในตอนนี้ ? น่าคิด ?
ตลอดสองปีที่ผ่านมาแม้นายธนาธรจะโดนคดีและต้องพ้นจากการเป็น สส. ไปแล้ว แต่ก็ได้ไปตั้งคณะก้าวหน้าขึ้นมา ซึ่งก็ได้มีการลงพื้นที่พบปะประชาชน ทำกิจกรรมเป็นกระแสเป็นข่าวได้อย่างสม่ำเสมอ อาทิ เรื่องวัคซีน แต่ความที่เป็นข่าวนั้น เป็นคุณประโยชน์ต่อคะแนนเสียงของนายธนาธรอย่างไร โดยเฉพาะต่อการแสดงความเห็นของนายธนาธรต่อเรื่องสถาบันฯ ?
ตลอดจนการเป็นข่าว ความเป็นกระแสของธนาธรต่อปูมหลังทางธุรกิจหรือครอบครัว ที่หลังจากมาเป็นนักการเมืองเต็มตัว ก็เริ่มมีข้อมูลถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ประชาชนรับทราบมากขึ้น ให้ประชาชนได้เข้าใจความเป็นตัวตนของนักการเมืองที่เขาชื่นชอบมากขึ้น
สำหรับกรณีข่าว เรื่องการเสียภาษีเรือยอร์ชว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ ? หรือกรณีข่าวว่ามีคนพยายามติดสินบนเจ้าพนักงานเพื่อเช่าที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นอย่างไร ? หรือข่าวกรณีบุกรุกป่าที่ราชบุรีที่มีใครเกี่ยวข้อง ? นั้น แม้จะยังอยู่ในช่วงการต่อสู้คดี แต่ความคิดของประชาชนจากที่ทราบข่าวเหล่านี้ตลอดจนทราบความคิดอุดมการณ์ที่แท้จริงของนักการเมืองที่เขากำลังติดตามนั้นเป็นอย่างไร เปลี่ยนไปหรือไม่ ? หรือการออกมาตอบคำถามได้เคลียร์ใจประชาชนหรือไม่ ?
ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กำลังส่งผลต่อคะแนนความนิยม และอาจส่งผลต่อคะแนนเลือกตั้งในอนาคต โดยผลการเลือกตั้งท้องถิ่นสองครั้งล่าสุดกำลังเห็นทิศทางกราฟความนิยมที่กำลังมุ่งไปทางใด ?
ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นสองครั้งนี้ก็เห็นแล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงความนิยมของประชาชนไปสู่คนรุ่นใหม่จริง และหลายเขตก็ล้มแชมป์นักการเมืองหน้าเก่าจริง เพียงแต่คนรุ่นใหม่ที่ได้รับเลือกอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่บางคนคาดหวังอีกต่อแล้วเท่านั้น ความใหม่ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปอาจไม่ใหม่หรือมีสิ่งที่ใหม่กว่าเกิดขึ้นมาอีก ?
“ดุจแมลงหวี่อันจะต่อสู้ด้วยช้างสาร เหมือนแบกเอาฟางเข้าไปทุ่มที่กองเพลิง”
จิวยี่ สามก๊ก ฉบับวณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี