เมื่อพูดเรื่องคอร์รัปชันกับสังคมไทย เรามักจะได้ยินแต่เรื่องด้านลบ เช่น คอร์รัปชันกระจาย รุนแรง คนได้รับผลกระทบทั่วทุกหัวระแหง ไม่ค่อยมีข่าวดีๆ ออกมาบ้างเลย
วันนี้ผมจะขอนำเสนอเรื่องดีๆ เป็นความหวังให้กับสังคมบ้างว่า ไทยเราก็มีเครื่องมือต้านโกงเจ๋งๆ ที่ช่วยชาติประหยัดเงินไปได้แล้วเกือบแสนล้านบาท เทียบเท่า 1 ใน 3ของงบประมาณกระทรวงศึกษาฯ ทั้งปี เอาไปสร้างโรงเรียนใหม่ได้หลายพันโรง หรือ เอาไปซื้อวัคซีนโควิด-19 ฉีดทุกคนฟรีได้ทั้งประเทศเลย (ถ้าคิดจะใช้) นั่นคือ ข้อตกลงคุณธรรม หรือ Integrity Pact
อ่านแค่ชื่อ อาจนึกว่าไปลงนามพอเป็นพิธีว่าจะมีคุณธรรม แต่หลักการจริงๆ ของโครงการนี้เจ๋งกว่าชื่อของมันเพราะมันคือการตกลงร่วมกันว่า หน่วยงานรัฐจะเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้กับตัวแทนภาคประชาชนมาร่วมตรวจสอบ แถมยังต้องเปิดให้มีผู้เชี่ยวชาญอิสระ หรือที่เรียกกันว่า ผู้สังเกตการณ์อิสระ ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมสังเกตการณ์การร่างข้อตกลงต่างๆ ไปถึงขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างจนจบสิ้นกระบวนความ
ความเจ๋งของมันก็คือ ปกติเวลาหน่วยงานราชการจะฮั้วกับบริษัทเอกชน เขาจะเริ่มจากการล็อกสเปกตอนเขียนเงื่อนไขการประมูล จากนั้นก็ไปรวมหัวกันกำหนดราคากลางกันเอง เพื่อให้มั่นใจว่าพรรคพวกที่ตกลงกันไว้ต้องชนะประมูลแน่ๆ การมีข้อตกลงคุณธรรมเลยไปตีฮั้วให้แตกหมดเลย เพราะบังคับให้เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ แถมยังมีคนนอกที่เป็นผู้สังเกตการณ์อิสระเข้าไปร่วมนั่งฟังตอนเขียนข้อกำหนด และคำนวณราคากลางด้วย ดังนั้นที่อยากจะล็อกสเปก ฮั้วกำหนดราคาก็แทบจะทำไม่ได้เลย
ประจักษ์พยานของความเจ๋งคือ การประหยัดงบประมาณได้จริง ที่เห็นเป็นตัวเลขชัดๆ ของเกือบทุกโครงการที่ร่วมข้อตกลงคุณธรรมด้วย โดยเฉลี่ย โครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมสามารถประหยัดงบประมาณไปได้ 26% เลยทีเดียว ที่ผมใช้คำว่าประหยัดเงินได้ หมายความว่า เงินที่รัฐต้องจ่ายจริง น้อยกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ตามราคากลางเท่าไหร่ ซึ่งแบบนี้ดีกว่าตามไล่จับคนโกง เพราะแบบนั้นจับยาก ใช้เวลานาน และถึงจับได้ เงินก็มักจะไม่ได้คืน ซึ่ง 26% นี้ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับความพยายามครั้งใหญ่ของรัฐบาลในการเปลี่ยนระบบการประมูลงานจาก e-Auction มาเป็น e-Bidding ที่เคยช่วยประหยัดได้เพียง 4-8% ในช่วงแรกๆ ของการปรับเปลี่ยน (จากรายงานสถิติของกรมทางหลวง)
ในแง่ตัวเงิน 26% โดยเฉลี่ยของแต่ละโครงการนี่มหาศาลเลยนะครับ เพราะตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2563มีโครงการภาครัฐร่วมข้อตกลงคุณธรรมและจบโครงการแล้วทั้งสิ้น 70 โครงการ รวมเป็นงบประมาณทั้งหมด 3.9 แสนล้านบาท ดังนั้นที่ประหยัดไปได้ 26% นี่คือ 1.03 แสนล้านบาทเลยทีเดียวนะครับ แล้วลองคิดต่อว่า 70 โครงการนี้ คิดเป็นเศษเสี้ยวของโครงการรัฐทั้งหมดในแต่ละปีซึ่งใช้งบประมาณสูงเป็นล้านล้านบาทเลยทีเดียว ถ้าเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมทุกโครงการก็ลองจินตนาการสิครับว่าไทยเราจะเหลือเงินมาพัฒนาประเทศอีกมากมายมหาศาลเท่าไหร่
ทีนี้จะพูดถึงผลประโยชน์อย่างเดียวคงจะไม่ครบถ้วน เดี๋ยวจะหาว่ายกย่องจนเกินไป แน่นอน การทำงานทุกอย่าง รวมถึงการต้านโกงด้วย ก็ต้องมีต้นทุน ดังนั้นก็ต้องมาดูว่าผลประโยชน์มหาศาลที่กล่าวมาแล้ว คุ้มค่ากับต้นทุนที่ต้องใช้ไปหรือไม่
จากข้อมูลขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) พบว่า ที่ผ่านมาแต่ละปีโครงการข้อตกลงคุณธรรมได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมบัญชีกลางปีละประมาณ 15-17 ล้านบาท พอลองถามละเอียดขึ้นก็ทราบว่างบประมาณส่วนใหญ่ ใช้เพื่อตอบแทนผู้สังเกตการณ์อิสระที่เข้าไปช่วยตรวจสอบข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างเหล่านี้ได้คนละ 5,000 บาทต่อเดือน โอ้โห...ลงทุนคนละ5,000 บาท ได้ผลตอบแทนเป็นล้านบาท ถ้าคิดโดยรวมคือ ตลอด 6-7 ปี โครงการลงทุนไปประมาณ 100 ล้านบาทได้ผลตอบแทนมา 1 แสนล้านบาท กำไรเป็นพันเท่าเทียบชั้นการลงทุนใน cryptocurrency อย่าง Bitcoin หรือ Dogecoin แต่เหนือกว่าที่ความเสี่ยงต่ำกว่ามาก นักการเงินที่ไหนเห็นก็ต้องตะลึงกันล่ะครับ
ผมจึงต้องขอย้ำอีกทีว่า ข้อตกลงคุณธรรมนี้มันเจ๋งจริงๆ แต่พอมันเจ๋งมากก็มีคนเสียผลประโยชน์มากเช่นเดียวกัน นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่มีความพยายามจะตัดงบประมาณโครงการนี้อยู่เรื่อยๆ เพื่อตัดแขนตัดขาไม่ให้โครงการเดินต่อไปได้ จะได้กลับไปล็อกสเปก กลับไปฮั้วกันได้สะดวกตามเดิม
ที่หนักไปกว่านั้น ล่าสุดระหว่างที่จะมีการปรับปรุง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ ใหม่ มีความพยายามสอดแทรกการตัดข้อตกลงคุณธรรมออกไป จากเดิมที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 ว่า “...อาจกำหนดให้มีการจัดทำข้อตกลงคุณธรรมตามโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง...” ตัดออกไปหมดแล้วให้ให้ข้อความในมาตรา 16 เพิ่มขึ้นมาว่า “...หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดให้มีโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตและการสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมถึงวิธีการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด” แบบนี้ก็เสร็จสิครับ รัฐมนตรีจะแต่งตั้งใครก็ได้มาเป็นคนตรวจสอบ โดยใช้เกณฑ์การตรวจสอบและ
เปิดเผยข้อมูลตามใจตัวเองโดยไม่ต้องมีมาตรฐาน ใครเห็นไม่ตรงกับนโยบายก็ดีดออก ตรวจสอบยังไงก็ไม่มีใครรู้ แถมถ้าเปลี่ยนรัฐมนตรี (ซึ่งเปลี่ยนบ่อยมาก) มาตรฐานก็เปลี่ยน ถ้าเจอคนเข้มงวดก็ดีไป ถ้าเจอคนโกง เครื่องมือนี้จะไร้ประโยชน์ไปเลย
อีกจุดหนึ่งที่โครงการมักถูกโจมตี คือผู้บุกเบิกนำเครื่องมือสุดเจ๋งนี้ไปตะลุยจนภาครัฐยอมรับมาใช้งานจริง นั่นคือ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชน ที่ไม่แสวงหาผลตอบแทนใดๆ แต่มักจะได้การตอบแทนมาเป็นการโจมตีในรูปแบบต่างๆ เสมอ ซึ่งก็คงต้องเป็นสิ่งที่องค์กรจะต้องแสดงความเป็นกลางอย่างแท้จริง พร้อมตะลุยทุกการคอร์รัปชันอย่างไม่สนใจว่าจะเป็นใครหน้าไหน เพื่อเรียกความศรัทธาจากประชาชนมาเป็นเกราะคุ้มกัน ให้ได้ผลักดันโครงการสุดคุ้มอย่างข้อตกลงคุณธรรมนี้ไปสู่ความสำเร็จในระดับใหญ่ขึ้นต่อไปให้ได้
เครื่องมือเจ๋งๆ ขนาดนี้ ยึดมาตรฐานสากล มีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน ลงทุนน้อยนิด ได้กำไรมหาศาล พิสูจน์แล้วว่าประหยัดเงินชาติได้เป็นแสนล้านบาทจากโครงการเพียงหยิบมือ ในเวลาแค่ไม่ถึงสิบปี นี่คือความหวัง
ของประเทศไทยที่จะลดคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างได้จริงเลยนะครับ เราจะปล่อยให้มันตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ไม่ได้! เริ่มต้นจากการแชร์ข้อมูลนี้ไปสู่สังคมให้กว้างที่สุด เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้กันนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี