“ความสุข” อย่างอื่นที่จะยิ่งไปกว่า ความสงบ ไม่มี” เพราะเป็นความสุขที่เกิดจาก “ตัวเอง” ที่ใจสงบ มีสติ ปัญญา เป็นมหาสุข ที่เกิดจาก “สังคมที่มีใจสงบ มีสติปัญญา” เมื่อ ๒ พลัง มาเสริมรวมกันพลังของตัวเรา + พลังของสังคมก็จะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงได้จริง
ในโลกที่ สับสน ซับซ้อน ชุลมุน วุ่นวายจะก่อปัญหามากมาย และขยายไปอย่างกว้างขวางใหญ่โต หากเกินจุดแห่งความสมดุลไปสู่จุดวิกฤติใหญ่ก็เริ่มจะยากแก้ไข
ในสภาวะเช่นนี้ เช่นที่เห็น และเป็นไปอยู่ในปัจจุบันขณะนี้ ทั้งไทยและโลก เราจำเป็นจะต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ให้ทันกาล
การเข้าไปสู่ “ภาวะ สับสน ซับซ้อน ชุลมุน วุ่นวาย ฯลฯ” ที่ใหญ่โต มีพลังทำลายมากกว่า
- เรา ในฐานะ “ปัจเจก” แต่ละคน ย่อมไม่สามารถแก้ไขได้
- สังคม ก็มีคนหลายหมู่หลายพวก
๑.คนเอาจริง จริงใจ มีปัญญา มีน้อยนิด
๒.คนคิดอคติ แค้นเคืองใจ ที่สร้างและก่อปัญหา ก็ไม่ได้มีมากมายนัก
๓.คนส่วนใหญ่ ขาดคุณภาพ ไม่มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมแก้วิกฤติ แต่จะกลับกลายเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือ ถูกใช้โดยกลุ่มคนที่ ๒
๔.คนที่มีความพร้อม ทั้งวุฒิภาวะความสามารถประสบการณ์ แม้ไม่ได้เห็นด้วยกับคนที่ ๒ แต่ประสบการณ์ และบทเรียนชีวิตทำให้ มีความคิด > “อย่าไปยุ่ง อย่าไปเกี่ยวข้อง” ควรจะคิดและทำเฉพาะส่วนตัวครอบครัว “แสวงหาความสุข ความเพลิดเพลินบ้างในยามชรา ที่อีกไม่นาน ก็ต้องลาจาก ฯลฯ
๕.ที่น่าเศร้าไปกว่านี้ คือ คนมีอุดมคติที่ผ่านโลกผ่านชีวิตมามาก ที่ได้เคยเข้าร่วมต่อสู้เปลี่ยนแปลงสังคมกลับหยุด ท้อแท้เพราะ “ได้รับผลกรรมที่ตรงกันข้าม ในยามชรา” นอกจากสังคมจะไม่เห็นแล้ว ยังโดนเล่นงาน คดี คุก การถูกลงโทษ การถูกริบอายัด “เงินทองสมบัติ” ที่หาได้มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
บางคนกลับถูกพลิก ถูกกระทำ จาก“อุดมคติ” เป็น “อคติ” จึงแสดงความโกรธเคืองแค้น โดยไปกล่าวหา “คนอื่น”
• ในโลกของความเป็นจริงก็เป็นเช่น“คนที่ ๔ คนที่ ๕” คิด : ไม่ผิดเสียทีเดียว แต่ หากหันกลับไปยัง “จุดเริ่มต้น” ของการมีอุดมคติ
ทุกประวัติศาสตร์ของทุกชนชาติของโลก บันทึกชัดว่า
“ผู้มีอุดมคติ ที่เอาจริง ไม่ท้อแท้ สู้ไปถึงที่สุด ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง ฯลฯ เขาคือผู้ที่สร้างสรรค์ และเปลี่ยนแปลงสังคมและโลกได้จนมีโลกที่งดงามในวันนี้”
ไม่มีความยุติธรรมใดๆ จะได้มาอย่างง่ายๆเพราะสังคมที่อธรรม จะมีระบบและกระบวนการที่ไม่ยุติธรรม ดำรงอยู่แน่นอน ด้านหนึ่งเป็นอุปสรรคที่ยากและใหญ่ยิ่ง ที่ขวางทางอยู่แต่อีกด้านหนึ่ง เป็นโอกาส ที่จะสร้าง “คนมีอุดมคติ”
ที่แท้จริงขึ้น
โลก มีคนอย่างพระพุทธเจ้า กาลิเลโอ ฯลฯ
เราจึงมีวันนี้ …………………
สำหรับคน : ยิ่งต้องการ “ปัญญา” มาพิจารณา แก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพลังแห่งปัญญา เป็นพลังที่เข้มแข็ง สามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้
เริ่มจากที่ “ตัวเราของเรา” ก่อน
แล้วถัดไป คือ “พลังปัญญา” ของสังคมที่จะเป็น “พลังแห่งการสร้างสรรค์” ที่ใหญ่กว่า พลังของการทำลาย
ในภาวะวิกฤติแห่งโควิด-19 เป็นโอกาสดีสำหรับการแสวงหา “ความจริง” ไม่ต้องไปที่วัด สถานที่สงบใดๆ ในไทย และในโลกนี้ทุกวันทุกคืน ทุกกาลเวลา เราหาได้ “ที่สงบในใจ” ของเรา สรุปบทเรียน ทบทวนชีวิตจิตใจ
เราเป็นใคร? ใครเป็นเรา?
เราเกิดมาทำไม?
และเราจะทำอะไร ? ในชีวิต ก่อนลาจากไป
บรรพบุรุษในอดีต คิดและทำอะไรที่ทำให้เรามีวันนี้ เขาคิดถึงอดีต ปัจจุบัน และที่สำคัญ คือ “อนาคตของลูกหลาน” และการกตัญญูรู้คุณแผ่นดินเกิด
“สะอาด สว่าง สงบ” นั้นหมายถึงศีล สมาธิ ปัญญาซึ่งมีที่มาจากการประพฤติ ปฏิบัติดี นั้นคือ การกระทำชอบ นั้นคือ ศีลรู้สติ และรู้ตัวของเรา นั้นคือ สมาธิคิดการและก่อให้เกิดผลดี นั้นคือ ปัญญา
พระพุทธศาสนายกย่องว่า จิตประเสริฐกว่ากาย เพราะกายเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของจิตจิตเป็นผู้นำ ฉะนั้นความสุขทางใจดีกว่าความสุขทุกชนิด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความสุขอย่างอื่นที่จะยิ่งไปกว่าความสงบไม่มี ” ใจที่สงบ : เป็นจุดเริ่มของ สติ ปัญญา ความจริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี