ที่ประชาธิปไตยล้มเหลวลงในโลกสมัยใหม่ นั่นมิใช่เป็นเพราะประชาชนพลเมืองไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ โง่เขลา หรือไม่เอาใจใส่เรื่องการบ้านการเมืองและความเป็นไปในสังคม เราต่างเห็นว่า ประชาชนพลเมืองนั้นพอรู้ พอเข้าใจ และมีความสนใจการเมือง จะขาดก็เพียงเขาไม่มีพรรคการเมืองและนักการเมืองดีๆ ที่คิดอ่านทำงานทำการเพื่อสังคมส่วนรวม จนทำให้ ประเทศชาติ และประชาธิปไตย ไม่สามารถโลดแล่นได้ด้วยดี
ตัวอย่างคือประเทศอินเดีย ที่มีประชากรมากมาย ในขณะที่อัตราการรู้หนังสือน้อยมาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวชนบทและยากจน แต่เมื่อได้รับเอกราชปลดแอกตนเองจากการเป็นอาณานิคมอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) ประเทศอินเดียก็ได้เลือกเอาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาเป็นวิถีทางชีวิต จวบจนกระทั่งปัจจุบัน
เมื่อคนอินเดียทำได้ ทำไมชนชาติอื่นๆ จะทำบ้างไม่ได้?
อย่างที่เกริ่นไว้ว่า ที่ทำไม่ได้ หรือมุ่งหน้าลงมือทำกันด้วยความยากลำบากนั้น ประเด็นปัญหามิได้อยู่ที่ประชาชนพลเมือง และกล่าวโทษว่าเป็นความล้มเหลวของประชาธิปไตยไม่ได้ หากแต่ประเด็นปัญหาอยู่ที่พรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นสำคัญต่างหาก
อินเดียคงจะโชคดีเมื่อเทียบกับอีกหลายๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทย ที่พรรคและนักการเมืองของเขาโดยทั่วไปได้คุณภาพและมีคุณภาพ โดยเฉพาะการเอาประเทศเป็นตัวตั้ง การมีวิสัยทัศน์ในการนำพาประเทศว่าจะพาไปในทิศทางใด และด้วยอุดมการณ์ หลักการใด ซึ่งแม้จะเป็นเช่นนั้นแล้ว อินเดียก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย ปัญหาในสังคมอินเดียยังมีอยู่อีกมากมาย หากแต่ความเป็นประชาธิปไตยของเขานั้นก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง และและดูจะยั่งยืน
สำหรับไทยเรา ปัญหาทางประชาธิปไตยที่ใหญ่สุดก็คือ การที่พรรคการเมืองส่วนมากไม่มีจุดยืน ไม่มีอุดมการณ์ และไม่มีหลักการ อีกทั้งก็ปราศจากความคิดอ่านเกี่ยวกับสถานะและสภาพของประเทศ และความมุ่งมั่นตั้งใจในการที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ พรรคการเมือง และนักการเมือง ต้องยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมอยู่เหนือส่วนตน
การเมืองไทยระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ผ่านมา เป็นเพียงเรื่องของการช่วงชิงอำนาจบริหารรัฐ เพื่อที่จะได้มุ่งหาประโยชน์จากอำนาจนั้น รวมทั้งการใช้อำนาจเพื่อต่ออายุอำนาจ สภาพการเมืองของไทยจึงเป็นเรื่องการเมืองว่าด้วยอำนาจ มากกว่าการเมืองเพื่อประเทศและประชาชน
อีกทั้งพรรคการเมืองก็มีลักษณะเป็นสมบัติส่วนตัวของส่วนบุคคล (ผู้ก่อตั้งพรรค รวมทั้งครอบครัว) ซึ่งต่างก็มุ่งแสวงหาอำนาจ และใช้พรรคเป็นฐานเพื่อเข้าสู่อำนาจ พรรคการเมืองก็เลยกลับกลายเป็นผู้รับใช้กลุ่มผู้นำ ผู้ก่อตั้ง มิใช่พรรคการเมืองที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ และพรรคที่ตอบสนองประชาชนเป็นหลัก
แล้วเมื่อพรรคและนักการเมืองเข้าสู่อำนาจ มีตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ต่างก็มุ่งแสวงหาประโยชน์กันทั้งนั้น ถึงขนาดพูดต่อสื่อสาธารณะได้ว่า การเป็นฝ่ายรัฐบาลนั้นอิ่มท้องมากกว่าการเป็นฝ่ายค้าน และจุดมุ่งหมายทั้งหมดของพรรการเมืองก็เลยเป็นเรื่องอิ่มท้องของพวกการเมืองด้วยกัน ประชาชนพลเมืองไม่เกี่ยว บางครั้งก็ขัดแย้งกันเอง ไม่สามารถแก้ปัญหาภายในเวทีการเมืองในรูปแบบได้ เรื่องราวก็ไหลหลั่งออกมาสู่ท้องถนน แล้วก็เปิดทางให้ฝ่ายกองทัพได้ทำการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า สามารถกลับมาลิ้มรสอำนาจการเมืองกันอีกเนืองๆ
เมื่อมีปมก็ต้องแก้ คือทำอย่างไรให้พรรคและนักการเมืองเป็นประชาธิปไตยกันจริงๆ จังๆ ก็ควรได้แก้ไขในหลายๆ เรื่องไปพร้อมกัน ดังนี้
1. ผู้ก่อตั้งพรรคและกลุ่มการเมือง พนักงานพรรค และว่าที่ผู้สมัครเลือกตั้งทุกคน ต้องผ่าน “โรงเรียนการเมือง” ซึ่งมิใช่แค่ให้มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ โครงสร้างการเมืองการปกครอง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เรื่องไทยกับโลกกว้างเท่านั้น หากแต่ต้องสอบผ่านวิชาจริยธรรมด้วย
2. ผู้สมัครลงเลือกตั้งจะเป็นคนไทยใดก็ได้ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องการศึกษาและยศถาบรรดาศักดิ์
3. ผู้สมัครจะสังกัดพรรค หรือไม่ก็ได้ เพื่อเปิดสนามให้กว้าง และลดอำนาจผูกขาดของพรรค
4. ผู้สมัครต่างๆ เมื่อผ่าน “โรงเรียนการเมือง” แล้ว ก็ต้องมีการโต้วาที หรือมีการแสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องบ้านเมืองให้สังคมไทยได้ตระหนักและประเมินขีดความสามารถ
5. การตรวจสอบประวัติโดยทั้งฝ่ายราชการที่เกี่ยวข้อง และโดยองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่า ปราศจากประวัติ “สีเทา” และมีอาชีพและมีประสบการณ์หนึ่งใดที่บ่งบอกความเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ เหมาะที่จะมาขับเคลื่อนประเทศ
6. พรรคการเมืองรวมทั้งกลุ่มการเมืองต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สมบัติ ทั้งนี้ควรยกเลิกการเอาเงินภาษีไปอุดหนุนจุนเจือพรรคตามสัดส่วนคะแนนเสียง เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นการเปิดทางให้ระบบราชการเข้าไปแทรกแซงกำกับพรรค ซึ่งเป็นของปวงชน
7. การยกเลิกข้อจำกัดและเงื่อนไขต่างๆ ในเรื่องจำนวนสมาชิกผู้ก่อตั้ง จำนวนสมาชิกพรรค และจำนวนขั้นต่ำของการจัดส่งผู้สมัคร ทั้งหมดต้องให้เป็นสิทธิเสรีภาพของพรรค ซึ่งขึ้นอยู่กับการสนับสนุนหรือไม่ของประชาชนเป็นสำคัญ
8. การยกเลิกความคิดที่ว่า ต้องกันไม่ให้พรรคใหญ่ขยายตัว และช่วยส่งเสริมให้พรรคเล็กได้เกิดได้โต เพราะเป็นการวางกรอบสิทธิเสรีภาพ และเป็นการไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ปล่อยให้เป็นการแข่งขันโดยเสรี พรรคใดได้คะแนนน้อยก็คงอยู่ไม่ได้ ต้องสลายกันไปเอง ไม่ใช่ช่วยหาทางค้ำจุนให้อยู่ได้
9. ประชาชนฟ้องร้องพรรคและนักการเมืองได้ เมื่อเห็นหรือตระหนักว่าพรรคและนักการเมืองกระทำการที่เป็นภยันตราย หรือไม่ตอบสนองผลประโยชน์ของส่วนรวม
เงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นก็เสนอเพื่อการปรับปรุงพรรคและนักการเมือง ก็คงกระทำได้ในระดับหนึ่ง คู่ขนานกันไปก็คือ ความเป็นคนที่มีจิตสำนึกอยู่ในจริยธรรมของนักการเมืองและผู้บริหารพรรคนั่นเอง
เมื่อพรรคและนักการเมืองต่างไม่ประสงค์ให้ “พรรคทหาร” มาแย่งอำนาจบริหารไป ก็ต้องแน่ใจในความถูกต้องของตนเองเป็นสำคัญ และต้องพยายามรักษาความดีงามอย่างยิ่งยวดด้วย
มิฉะนั้นก็ไม่ต่างกับการสมยอม ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นโทษมหันต์ต่อชาติบ้านเมือง และนักการเมืองก็จะกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาของสังคมอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี