สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยกำลังเข้าขั้นวิกฤติ และมีผู้ติดเชื้อสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีมาตรการคุมเข้มออกมาสักระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์จนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ต้องมีการออกคำสั่งรวบอำนาจครม. มาเพื่อใช้ในการบริหารสถานการณ์โควิด ซึ่งนับว่าเป็นอีกครั้งที่นายกฯ ต้องออกโรงกระชับอำนาจทาง
การเมือง และให้ข้าราชการได้เป็นกลไกการทำงานหลักอีกครั้งหลังการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อปีก่อนที่เป็นการรวบอำนาจบริหารครั้งแรก แต่กลับสะดุดลงในปัจจุบันโดยอาจมาจากหลายปัจจัยที่มากกว่าการแพร่ระบาด
ที่จริงแล้วสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็ดูจะอ่อนกำลังลงไปเยอะทั้งความขัดแย้งกันเอง วิธีการที่ไม่ลงรอยกันในหมู่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ตลอดจนกลุ่มเคลื่อนไหวบนท้องถนนที่ก็หมดมุขที่จะเดินต่อไป สถานะทางการเมืองที่น่าจะนิ่งแล้ว แต่กลับมีกระแสข่าวแปลกๆ ทางการเมือง ตั้งแต่กระแสข่าวความขัดแย้งของฝั่งรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับภูมิใจไทย หรือความขัดแย้งระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งเรื่องกรณีการจัดการโควิดที่เมื่อผู้รับผิดชอบกระทรวงสาธารณสุขเป็นภูมิใจไทย แต่กลับมี ศบค. ของนายกฯ มาเป็นคนคุมงานอีกทีก็เกิดการแย่งงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการเมืองต้องการผลงานด้วย งานใหญ่อย่างการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ก็คือผลงานชิ้นโบแดงที่ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้อยากทำ แต่หากทำพลาดก็โดนตำหนิจากสังคมที่ต้องหาคนรับผิดชอบเช่นกัน หรือกรณีการแบ่งงานมอบหมายของนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรีให้ต้องกำกับกลุ่มจังหวัด กลับดูมีประเด็นที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลได้ หรือความขัดแย้งที่ว่าจะไม่ใช่จากเรื่องโควิดอย่างที่หลายคนเชื่อ?
ความขัดแย้งดูทวีความรุนแรงขึ้นจนผู้ติดตามการเมืองหลายคนต่างบอกว่าได้กลิ่นการยุบสภาเร็วๆ นี้
ตลอดจนมีกระแสข่าวว่าจะมีการยุบสภาจริงๆ ถึงขั้นที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล อย่างนายธนาธรต้องออกมาพูดถึงสถานการณ์โควิด-19 และพูดถึงว่าอาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการยุบสภา? เพราะจะทำให้การบริหารงานสะดุดลง แต่แนะนำให้นายกฯ ลาออกเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ที่มีความสามารถได้เข้ามาบริหารงาน? ซึ่งหากมีการลาออกจริงตัวเลือกก็จะเป็นคนจากประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และเพื่อไทย ที่อยู่ในโผรายชื่อนายกฯ ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 หรือไม่? ซึ่งน่าสนใจว่านี่คือเหตุที่มีการกวนน้ำให้ขุ่นภายในพรรคร่วมรัฐบาลกันเอง? แต่เรื่องแค่นี้จะเป็นประเด็นหรือปัจจัยที่นำไปสู่การเลือกตั้งกลางวาระจริงๆ หรือ?
เมื่อประเมินสถานการณ์ตามหลักการเมืองว่าทุกคนทุกพรรคการเมืองต้องการชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป และเป็นปกติที่ว่าปีที่สามของรัฐบาลเป็นปีที่พรรคการเมืองจะเริ่มต้องหาเสียงเลือกตั้ง เพราะเป็นช่วงที่พรรคร่วมรัฐบาลแข็งแกร่งที่สุด โยกย้ายข้าราชการในกระทรวงที่กำกับดูแลได้เริ่มลงตัวและสะสมผลงานได้แล้วระดับหนึ่ง จึงต้องรีบชิงพื้นที่หาเสียง ซึ่งวาระปกติตามไทม์ไลน์ การเลือกตั้งที่คาดการณ์กัน คือ จะจัดการเลือกตั้งช่วงเดือนมีนาคม 2566 แต่ด้วยปัจจัยบางอย่างก็ทำให้กูรูทางการเมืองหลายคนเดาว่าเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้ง 6 เดือนก่อนหมดวาระรัฐบาล นั่นคือในเดือนตุลาคม 2565 แต่ก็ยังติดวาระสำคัญของรัฐบาลคือการที่ประเทศไทยต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปก ในเดือนพฤศจิกายน 2565
ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการเลือกตั้งปลายปี 2565 เพราะจะกระชั้นชิดกับการจัดงานเกินไป การจัดตั้งรัฐบาลอาจไม่ทัน หรือจะคาบเกี่ยวรัฐบาลรักษาการจึงอาจเป็นไปได้ที่หากมีการยุบสภาและเลือกตั้งจริงๆ ก็อาจเกิดก่อนเดือนตุลาคม หรือหลังการประชุมเอเปคไปเลยเพื่อความแน่นอนในการจัดงาน ซึ่งหลายต่อหลายคนก็เดาว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนกันยายน 2565 จะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะให้มีการเลือกตั้งรัฐบาลหรือไม่? โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ เป็นช่วงเวลาหลังการพิจารณางบประมาณเสร็จสิ้น และมีการโยกย้ายข้าราชการชุดใหม่เสร็จพอดี และที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจใกล้เสร็จแต่ยังไม่ประกาศใช้แน่นอน จึงต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมในการเลือกตั้งไปก่อนกฎกติกาการเลือกตั้งก็เป็นใจให้ และจัดตั้งรัฐบาลทันรับการประชุมเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งต่างฝ่ายก็คาดการณ์ปฏิทินการเลือกตั้งนี้ได้จึงเกิดการนับถอยหลังเตรียมตัวเลือกตั้งเร็วขึ้นด้วย
ตัวแปรสำคัญขณะนี้คือความอ่อนแอของรัฐบาล คือถ้าแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐมีความเข้มแข็ง การสืบทอดอำนาจครั้งต่อไปก็คงไม่มีปัญหาน่ากังวล แต่ถ้าอ่อนแอจะทำให้พรรคร่วมตื่นตระหนกและเริ่มแตกตัวออกเป็นก๊กมากขึ้น สถานการณ์ของพลังประชารัฐในตอนนี้ก็ไม่สู้ดีนักด้วยความขัดแย้งภายใน เกิดการแตกหักภายในพรรคพลังประชารัฐ
ในเรื่องของการชิงเก้าอี้เลขาธิการพรรคอาจมีการเปลี่ยนแปลงและมีการแย่งชิงกันจากหลายมุ้งที่ต่างต้องการอำนาจบริหารไม่แพ้กัน ภายใต้การดูแลของพี่ใหญ่อย่างพลเอกประวิตร โดยพรรคพลังประชารัฐเอง เป็นพรรคที่รวบรวมมุ้งการเมืองทั่วเมืองไทยเข้าด้วยกันนับสิบมุ้งแต่ในปัจจุบันลดเหลือเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถผนึกกำลังคนในพรรคให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เพราะการทำการเมืองไม่เหมือนการฝึกทหาร ที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้
ด้วยความที่พี่ใหญ่พลเอกประวิตรเป็นผู้บัญชาการทหารพลิกบทบาทตัวเองมาคุมพรรคการเมืองเอง รูปแบบในการปกครองจึงไม่แปลกที่จะยังติดธรรมเนียมทหาร จึงยังทำให้พรรคพลังประชารัฐเองยังไม่มีความเข้มแข็งในแบบพรรคการเมืองพอจะเป็นแกนนำรัฐบาลอย่างสมบูรณ์ ประกอบกับพรรครองอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยที่มีจำนวน สส.พอๆ กัน หากจับมือกันต่อรองก็จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการกดดันพรรคแกนนำได้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า แม้สถานการณ์จะเริ่มเหมาะแก่การเลือกตั้งแต่หากพลังประชารัฐยังห้ามศึกภายในไม่ได้ก็อาจพลาดท่าได้เสมอ
นอกจากภายในแล้วจุดเริ่มต้นของรอยแยกของรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราช ที่ประชาธิปัตย์มองว่า พรรคใหญ่แกนนำไม่รักษามารยาททางการเมือง? ตามที่ประชาธิปัตย์กล่าว แม้ที่ผ่านมาประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครในทุกเขตเลือกตั้งซ่อมโดยไม่ได้สนใจพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม แต่การที่พลังประชารัฐลงแข่งกับเจ้าของพื้นที่เดิมที่เป็นพรรคร่วมด้วยกันจนได้ชัยชนะไปในที่สุด ก็ทำให้ประชาธิปัตย์มีตะกอนใจไม่น้อยต่อพลังประชารัฐ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นครศรีธรรมราช มี สส.พลังประชารัฐถึงสี่คนแล้ว เป็นไปได้ไหมที่พลังประชารัฐเองก็ไม่ได้สนใจพรรคร่วมแล้ว หลังจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาตลอดจนการเลือกตั้งซ่อมในหลายเขตก็เห็นได้ว่าพลังประชารัฐสามารถล้มแชมป์ได้อย่างราบคาบ และเป็นไปได้ว่าอาจมีการเตรียมจะยึดพื้นที่ภาคใต้จากดินแดนนายหัวชวน ที่สมัยก่อนชื่อชั้นนายชวนปักธงได้ทุกพื้นที่ในภาคใต้
ความฮึกเหิมนี้จึงอาจเป็นที่มาของแผนยุทธศาสตร์ครั้งใหม่ของพรรคแกนนำในการเตรียม
บุกพื้นที่ภาคใต้ จนนำมาสู่ประเด็นการแบ่งงานรัฐมนตรีในการกำกับจังหวัดโดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ที่ให้รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐมาเป็นคนกำกับพื้นที่ สส. ประชาธิปัตย์ ถึงขั้นที่หลายสำนักเริ่มวิเคราะห์ว่าเป็นความตั้งใจส่งรัฐมนตรีในสังกัด
รองนายกฯ ประวิตรลงมาเล่นเองเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือลองเชิงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ เพราะไม่นานก็มีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว และให้รัฐมนตรีสายใต้ของประชาธิปัตย์ดูแลพื้นที่ดังเดิม
ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็กำลังเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของพลเอกประยุทธ์ และทดสอบความเข้มแข็งของรัฐบาลว่ามีความเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่? โดยเฉพาะนายกฯประยุทธ์เอง ที่ทำได้ดีในเรื่องของความเด็ดขาดในการบริหาร ไม่เกรงใจใคร ในวันนี้หลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาบทบาทความเด็ดขาดในการบริหารกลับน้อยลงเปลี่ยนเป็นแนวทางประนีประนอมมากขึ้นทำให้ผู้สนับสนุนหลายคนต่างเสียดาย สถานการณ์ที่รุนแรงในครั้งนี้หากบริหารวิกฤตการณ์ให้ผ่านพ้นไปได้ก็จะทำให้พลเอกประยุทธ์สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้อีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ว่ากฎหมายเลือกตั้งหรือรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร หากผลงานเป็นที่ประจักษ์แล้วชัยชนะทางการเมืองก็คงจะไม่ยากจนเกินไป
“ในโลกความจริง มีเรื่องอับจนปัญญาอยู่มากหลาย
มิว่าผู้ใดต่างมิอาจเหนี่ยวรั้ง ขัดขืนได้ เยี่ยงนี้แม้เจ็บปวดรันทด
แต่หากยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องคิดหาวิธีมาสลัดความเจ็บปวดรันทดของตัวเองออกไปให้ได้”
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี