เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นำโดย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย นายผยง
ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒน์ ร่วมแถลงข่าวผลการประชุมระหว่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับผู้แทนภาคเอกชน เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
1) ผลการประชุม นายกฯ มีข้อสั่งการเรื่อง “แนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีน ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (กกร.)” 4 ด้าน คือ 1) ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน 2) ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์ 3) ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่างๆ และ 4) ด้านการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม พร้อมแต่งตั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ นำทีมจัดทำ
แผนการบริหารจัดหาและกระจายวัคซีนให้เป็นระบบและเกิดผลเป็นรูปธรรม
ผลปรากฏชัดเจน เช่น รับข้อเสนอภาคเอกชน เพิ่มจุดฉีดวัคซีนใน กทม. 14 จุด ฉีดเพิ่มได้อีกกว่า 2 หมื่นโดสต่อวัน โดยจะให้ประชาชนจองฉีดตามจุดเหล่านี้ได้ เพิ่มเติมจากโรงพยาบาลต่างๆ ใน กทม. ฯลฯ
2) หลังการประชุมร่วม สภาหอการค้าไทยได้ออกแถลงการณ์ผ่านเพจ Thai Chamber เรื่องการดำเนินงานด้านการจัดหาวัคซีนทางเลือก ระบุว่า ภาคธุรกิจเอกชนจะไม่มีการจัดซื้อหาวัคซีนทางเลือกเอง ไม่มีการไปจัดซื้อวัคซีนเองเพิ่มเติม และจะเป็นเพียงทีมสนับสนุนเท่านั้น
แถลงการณ์ดังกล่าว ระบุว่า จากการประชุมร่วมกับรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 28 เม.ย. รัฐบาลได้แสดงความขอบคุณที่หอการค้าไทยและภาคเอกชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมเสริมการทำงานของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความพยายามในการจัดหาวัคซีนทางเลือก เพื่อฉีดให้กับพนักงานของตนเอง ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้แจ้งว่าปริมาณวัคซีนที่ภาครัฐจัดหามานั้น มีจำนวนที่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทุกคน พร้อมเร่งดำเนินการในการนำเข้าวัคซีน ซึ่งกำลังทยอยเข้ามาเป็นลำดับ ดังนั้น ภาคเอกชนจึงไม่จำเป็นต้องมีการจัดหามาเพิ่มเติม และจะได้ไม่เป็นภาระในเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งภาคเอกชนต่างก็ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของหอการค้าไทย ซึ่งเปิดรับแจ้งความประสงค์ของบริษัทเอกชน ที่ต้องการวัคซีนทางเลือกเพื่อฉีดให้กับพนักงานของตนเองนั้น หอการค้าไทยจะรวบรวมข้อมูลความต้องการดังกล่าวที่ได้มีการแจ้งเข้ามาแล้ว ส่งต่อให้กับภาครัฐ เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดลำดับการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม สำหรับในแต่ละพื้นที่ หรือประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ต่อไป สำหรับการแจ้งความประสงค์ในการเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงานอื่นๆ หอการค้าไทยยังยินดีรับการสนับสนุนนั้นๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ ให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นต่อไป
“หอการค้าไทยและเครือข่ายยังเชื่อมั่นว่า หากคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังความสามารถ จะทำให้ประเทศไทยของเราฝ่าวิกฤติ COVID-19 นี้ไปได้อย่างแน่นอน”
3) ทำไมเอกชนไม่ควรซื้อวัคซีนโควิด-19 เอง?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอข้อมูลว่า สมาคมนักเรียนคณะเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศออสเตรเลีย (The Economics Student Society of Australia:ESSA) ได้มีการออกบทความคัดค้านการเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีน ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19
เนื้อหาใจความสำคัญ น่าสนใจ อาทิ
...
แนวทางการเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อวัคซีนนั้น ดูจะไม่ใช่แนวทางที่ดีเท่าไรนัก
1.ประเด็นความเหลื่อมล้ำในการกระจายวัคซีนโควิด-19
โดยแนวโน้มทั่วไปที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ ก็คือว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ กลายเป็นประเทศที่มีการสั่งซื้อวัคซีนมากเกินกว่าจำนวนที่เหมาะสมสำหรับประชากรของประเทศตัวเอง ซึ่งจากข้อมูลตัวเลขพบว่า 53 เปอร์เซ็นต์ของวัคซีนที่ดีที่สุดนั้น ถูกจัดหาโดยประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศที่พัฒนาแล้วที่ว่านี้นั้นกลับมีประชากรอยู่แค่ 14 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรโลกเท่านั้น อาทิ สหภาพยุโรปหรืออียู ได้มีการจัดหาวัคซีนเป็นจำนวน 1.6 พันล้านโดสสำหรับประชาชนจำนวน 375 ล้านคน เช่นเดียวกับประเทศแคนาดาที่มีการจัดหาวัคซีนจำนวนที่สามารถฉีดให้กับประชาชนจำนวนกว่า 188 ล้านคน ทั้งๆ ที่ ประเทศนี้มีประชากรแค่ 32 ล้านคนเท่านั้น ส่วนประเทศออสเตรเลียเองก็มีการเข้าถึงสัญญาจัดหาวัคซีนจำนวนกว่า 134 ล้านโดส ดังนั้น ด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากรวัคซีนที่น้อยสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะความต้องการที่มากซึ่งมาจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมตอนนี้ประเทศที่กำลังพัฒนาจึงกำลังดิ้นรนทุกทางเพื่อที่จะจัดหาวัคซีนในระยะแรกด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป
2.ทวีปเอเชีย : แนวคิดการอนุมัติให้ภาคเอกชนจัดซื้อวัคซีน
จึงมีข้อถกเถียงกันว่าบริษัทเอกชนนั้น ควรที่จะได้รับการอนุมติให้มีการจัดซื้อวัคซีนกันหรือไม่ โดยเฉพาะกับในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคระบาด ซึ่งในประเทศอินโดนีเซียนั้น มีการอนุมัติให้ภาคธุรกิจได้จัดซื้อวัคซีนไปพร้อมกับรัฐบาล โดยข้อมูลจากทางหอการค้าประเทศอินโดนีเซีย ระบุว่า ณ เวลานี้มีบริษัทมากกว่า 5,000 แห่ง ลงทะเบียนเพื่อที่จะเป็นผู้จัดซื้อวัคซีน
แน่นอนว่า วิธีการดังกล่าว ถ้าหากดูแค่ผิวเผินแล้วอาจจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการทำให้มีทรัพยากรวัคซีนเป็นจำนวนมากเข้าถึงผู้คนในระยะเวลาอันสั้น แต่ถ้าหากเราลงลึกในรายละเอียดแล้วจะพบว่ามีข้อเสียบางประการ
3.ข้อเสียของการให้เอกชนเป็นผู้จัดซื้อวัคซีน
3.1. เป้าหมายของภาคเอกชนในการหาผลกำไรมากกว่าประโยชน์ทางสังคม
ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าบริษัทเอกชนนั้นจะจัดลำดับความสำคัญเรื่องการหากำไรเอาไว้เป็นลำดับต้นๆ และ ณ เวลานี้ ด้วยจำนวนทรัพยากรวัคซีนที่จำกัด ขณะที่ความต้องการวัคซีนยังสูงอยู่ บริษัทที่มีความสามารถในการจัดหาโดสวัคซีนได้เป็นจำนวนมากจะเข้าสู่ภาวะการผูกขาดและครองอำนาจในท้องตลาด ดังนั้นบริษัทเหล่านี้สามารถที่จะกำหนดราคาเพื่อเพิ่มผลกำไรได้ผลที่ตามมาก็คือว่าประชาชนที่รายได้ต่ำจะประสบปัญหาในการเข้าถึงวัคซีน และจะนำไปสู่ปัญหาการฉีดวัคซีนไม่ครอบคลุมในที่สุด
3.2. ถ้าหากสามารถกำจัดธรรมชาติการแสวงหาผลกำไรของบริษัทออกไปได้
สมมุติว่า ข้อปัญหาด้านแรงจูงใจเพื่อหาผลกำไรของบริษัทนั้นถูกขจัดออกไปได้เป็นผลสำเร็จ วัคซีนก็ยังคงเป็นความจำเป็นที่สำคัญ มีความต้องการที่แน่นอน ซึ่งทำให้ราคาของวัคซีนนั้นจะคงตัวและไม่ผันผวนไปมากนัก เช่นเดียวกับจำนวนทรัพยากรวัคซีนที่ยังคงมีอย่างจำกัดเช่นกันในช่วงแรกของกระบวนการฉีดวัคซีน
ดังนั้น เส้นกราฟของทั้งอุปสงค์และอุปทานของวัคซีนจึงอยู่ในรูปที่ค่อนข้างสูงชันตามทฤษฎีพื้นฐานของหลักเศรษฐศาสตร์ สำหรับในบริบทของตลาดวัคซีนโควิด-19 บริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้จัดหาวัคซีนนั้น แน่นอนว่าส่วนมากจะต้องซื้อมาอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่ผลิตวัคซีนเองแต่อย่างใด จึงทำให้เส้นโค้งความต้องการนั้นอยู่ในทิศทางที่สูงชันขึ้นไปอีก ขณะที่เส้นกราฟของทรัพยากรยังคงที่เท่าเดิม ไม่ได้สูงขึ้นสอดรับไปกับความต้องการ
ซึ่งผลที่ตามมาก็คือว่า จำนวนปริมาณการจัดหาและความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นนั้นจะทำให้ราคาวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นสัดส่วนตามมาด้วย และทำให้วัคซีนนั้นมีความเข้าถึงยากขึ้นไปอีกสำหรับชุมชนในประเทศที่มีรายได้ต่ำ
4.ทางเลือกอื่นๆ คืออะไร
ดังนั้น แทนที่จะอนุญาตให้ภาคเอกชนซื้อวัคซีนด้วยตัวเองโดยตรง ธุรกิจต่างๆ ควรที่จะเข้าถึงโดสวัคซีนผ่านการจัดหาของทางรัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจในการจัดซื้อวัคซีน โดยรัฐบาลนั้นสามารถที่จะช่วยเหลือภาคเอกชนด้วยการให้ภาคเอกชนนั้นมีอำนาจในการต่อรองผ่านรัฐบาลเพื่อที่จะทำให้ราคาวัคซีนนั้นสามารถเข้าถึงได้ในขณะที่จำนวนวัคซีนนั้นยังคงมีปริมาณอย่างคงที่
โดย ณ เวลานี้ มีบางประเทศที่กำลังดำเนินการในรูปแบบนี้อย่างได้ผล อาทิ ที่ประเทศมาเลเซียที่ทุกบริษัทเอกชนซึ่งมีความต้องการจะจัดซื้อวัคซีนนั้นจะต้องมีการมาลงทะเบียนกับทางรัฐบาลเสียก่อน จึงจะสามารถหาวัคซีนผ่านทางช่องทางนี้ได้
ขณะที่ในส่วนของประเทศไทยเองก็ได้มีแนวทางที่คล้ายๆ กับประเทศมาเลเซียเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ได้มีการแถลงข่าวตั้งคณะกรรมการพิจารณาจัดหาวัคซีนโควิดทางเลือก และมีการแต่งตั้ง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานกรรมการในการจัดหาวัคซีนดังกล่าว
ข้อสรุป
เมื่อพิจารณาถึงข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการอนุญาตให้ภาคเอกชนจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 รัฐบาลควรจะทำข้อกำหนดให้ชัดเจนสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการจะซื้อวัคซีนโควิด-19 โดยให้มีการลงทะเบียนกับทางรัฐบาลสำหรับจำนวนโดสที่ต้องการ ซึ่งแม้ว่าวิธีการดังกล่าวนั้นอาจจะทำให้เกิดความล่าช้าในด้านแผนการฉีดวัคซีนบางประการ แต่ก็ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ ในการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดหาวัคซีน
.....
4) จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า แนวทางที่ให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ โดยประสานข้อมูลและความร่วมมือกับภาคเอกชน ตามที่รัฐบาลไทยและเอกชนกำลังดำเนินการอยู่นี้ จึงน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดแล้ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี