เมื่อฝรั่งเศสขึ้นมาเป็นใหญ่ในศตวรรษที่ 18 ก็มีการสู้รบกันทั่วยุโรป
เมื่ออังกฤษปฏิวัติอุตสาหกรรม อังกฤษก็รุกรานทั่วโลก จนกลายเป็นเจ้าอาณานิคม
เมื่อเยอรมนีรวมประเทศ และทำการปฏิวัติอุตสาหกรรม โลกก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
เมื่อญี่ปุ่นพัฒนาประเทศได้เทียบเท่าฝ่ายตะวันตกก็บุกเกาหลี และจีน ก่อสงครามเอเชียอาคเนย์ หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งแปซิฟิก
เมื่อสหภาพโซเวียตขึ้นมาเป็นใหญ่ ก็เดินหน้าครอบงำ ยุโรปกลางและตะวันออก รวมทั้งส่งออกแนวคิดการปฏิวัติสังคมไปทั่วโลก
ประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อประเทศหนึ่งใดผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่ ก็มักจะต้องเกิดการท้าชิงกับประเทศที่ครองตำแหน่งความเป็นเจ้าโลก หรือเจ้าภูมิภาคก่อนหน้า หรือมีการชิงดีชิงเด่นกัน ทั้งการสงครามแบบเปิดเผย สงครามตัวแทน การจารกรรม รวมทั้งการบ่อนทำลายภายในประเทศของกันและกัน
เมื่อใดที่เกิด โลกก็ตกภายใต้ความหวาดหวั่น หวาดกลัว และชาวโลกก็ถูกทำลายลงไปไม่น้อย
มาวันนี้ จีนขึ้นมาเป็นใหญ่ ด้วยความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทุกๆ ด้าน โดยใช้เวลาพัฒนาเพียงแค่ 40 ปี หลังจากที่ล้มเหลว และบ่อนทำลายตัวเองมานาน กับการปฏิวัติวัฒนธรรม และการผูกขาดอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจของพรรคคอมมิวนิสต์ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายและสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ เพื่อพลิกแผ่นดิน
ผู้นำจีนในช่วง 40 ปีดังกล่าว อาจแบ่งได้ออกมาเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำงานกันเป็นทีมแบบผู้นำผสม หรือร่วมมือกัน (CollectiveLeadership) กับอีกกลุ่มคือ การยึดมั่นในองค์บุคคล หรือผู้นำคนเดียว (One Autocrat)
ในกลุ่มแรก ก็มีทีท่าที่จะใฝ่หาความร่วมมือและการเสริมสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตรไมตรี ในขณะที่ผู้นำจีนชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำพาด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จของ นายสี จิ้น ผิง(ซึ่งเป็นทั้งประธานาธิบดี เลขาธิการพรรค ประธานคณะกรรมาธิการทหาร ถือเป็นผู้มีอาญาสิทธิ์) กลับเลือกที่จะปฏิเสธบรรยากาศฉันมิตรระหว่างประเทศ โดยมุ่งใช้หลักการ “ข้ามาคนเดียว” และ “ข้าต้องการอย่างนี้” ซึ่งโลกจะต้องโอนอ่อนและนอบน้อมตาม
จีนมิได้ผงาดขึ้นมาท่ามกลางสภาวะสุญญากาศ(Vacuum) ทางอำนาจ หากแต่มีเจ้าอำนาจประจำรออยู่แล้ว ซึ่งอาจจะแบ่งได้เป็น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และรัสเซีย โดยมีประเทศเจ้าอำนาจระดับสองอย่าง ญี่ปุ่น อินเดีย ตุรกี และบราซิล อยู่เคียงข้าง
แต่ในบรรดาผู้ครองตำแหน่งทั้งหมดนี้ มีเพียงหนึ่งเดียวที่จีนอยากจะท้าชิง นั่นก็คือสหรัฐอเมริกา เพียงแต่ว่าสหรัฐอเมริกานั้นไม่ได้มาคนเดียว หากยังมีสมัครพรรคพวก เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย ร่วมฝั่งด้วย
ส่วนจีนนั้นจะมีก็แค่เกาหลีเหนือ และปากีสถาน รวมถึงรัสเซียที่อาจจะพอรู้เห็นเป็นใจอยู่บ้างในการต้านทานแรงอำนาจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกำลังกันแล้ว สหรัฐอเมริกาก็ยังถือว่ามีภาษีกว่าจีนอย่างมากโข
การที่ผู้นำจีนชุดนี้คิดอ่านที่จะล้มแชมป์ ก็จะเป็นการสร้างความปั่นป่วนให้กับชาวโลก และยังเป็นการบ่อนทำลายจีนเองเสียด้วย ซึ่งเท่ากับว่า ผู้นำจีนชุดนี้กำลังนำความหายนะมาให้กับชาวจีน 1,400 ล้านคน เพียงเพราะความทะเยอทะยาน ความโลภอำนาจ ซึ่งจะสร้างความเคียดแค้นจากชาวโลกให้กับตนเอง เพราะพยายามเอาชนะโดยไม่ประมาณตน ไม่ได้คำนึงถึงความหายนะ และที่สำคัญ ไม่รับรู้ และไม่เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ว่า เมื่อประเทศใหญ่โตขึ้นมา ในยุคนี้ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องไปทำลายผู้อื่น แต่สามารถจะใฝ่หาความร่วมมือและเสริมสร้างสันติภาพ และความเจริญก้าวหน้าร่วมกับผู้อื่นได้ไปพร้อมๆ กัน
เรื่องหนึ่งที่อาจจะฝากไปเป็นข้อคิดให้กับผู้นำจีน ก็คือว่า เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศเอกราชจากอังกฤษ และมีชัยชนะในสงครามป้องกันตนเองจากการรุกรานของอังกฤษ และก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ สหรัฐอเมริกาเองกลับมิได้คิดที่จะล้มล้างอำนาจของอังกฤษในโลกกว้าง (ทั้งๆ ที่มีความบาดหมางกันในอดีต) หากแต่ก็ได้มีการร่วมมือกันทั้งในด้านการทำมาค้าขาย และต่อมาได้ร่วมเป็นพันธมิตรในสงครามโลกดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาเองมิได้มีความคิดอ่าน หรือผู้นำประเทศมิได้รับฉันทามติจากคนอเมริกัน ที่จะออกไปหาเมืองขึ้นอย่างที่อังกฤษทำ หากแต่ก็มีนโยบายหลักคือ มิให้ภยันตรายมาประชิดเขตอาณา ทั้งทางด้านมหาสมุทรแอตแลนติก และมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งก็มิประสงค์จะให้ประเทศหนึ่งใดในโลกเข้ามาป้วนเปี้ยนในอาณาบริเวณรอบบ้าน ทั้งทางด้านตอนเหนือและทางด้านตอนใต้นั่นจึงทำให้โลกเดินหน้าไปด้วยความราบรื่นปราศจากความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจเก่า และใหม่
หากเป็นไปได้ ผู้นำจีนชุดนี้ ก็น่าจะคิดอ่านไปในทำนองใฝ่หาความร่วมมือและเสริมสร้างสันติภาพ มากกว่าการคิดอ่านที่จะครอบงำประเทศต่างๆ รอบบ้าน และเลิกเอาเรื่องประวัติศาสตร์ในอดีตที่ถูกฝ่ายตะวันตกรังแกมาเป็นข้ออ้างในการที่จะขับไล่ฝ่ายตะวันตกออกไปจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ในเมื่อโลกอยู่ท่ามกลางยุคโลกาภิวัตน์ของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และของการเชื่อมโยง และความจำเป็นของการต้องร่วมมือกันในเรื่องที่ไม่มีประเทศหนึ่งใดจะแก้ประเด็นปัญหาได้ด้วยตนเอง เช่น เรื่องโลกร้อน และภัยพิบัติทางธรรมชาติ เรื่องโรคระบาดต่างๆ และเรื่องความไร้เหตุผลในการดำรงชีวิตในฐานะเป็นมนุษย์ร่วมโลกด้วยกัน (Extremism) เป็นต้น
ทั้งนี้ สังคมจีนอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการ (หรืออาณาจักรแห่งการกดขี่และความหวาดกลัว) มาได้ 70 กว่าปีแล้ว ซึ่งผู้นำจีนก็จะทำคุณประโยชน์ให้กับประชาชนพลเมืองจีนได้อย่างมหันต์ ถ้าจะปลดปล่อยให้เขามีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงชาวโลกอื่นๆ และไม่ทำตัวเป็นศัตรูกับผู้ใด
งานการที่บ้านก็มีมากโขอยู่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ผู้นำจีนจะสร้างความทุกข์ยากให้กับคนจีนด้วยผลของความทะเยอทะยาน คือการเสริมสร้างความขัดแย้ง และการสงคราม ที่ไม่มีผู้ใดได้ชัยชนะ หรืออาจจะได้ชัยชนะแค่ในชื่อ แต่เป็นการสูญเสียอย่างหมดเนื้อหมดตัวในสภาพแห่งความเป็นจริง
ประวัติศาสตร์สงครามแย่งความเป็นมหาอำนาจในอดีต ก็ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ทุกครั้งว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้ หรือผู้ชนะ ชาวโลกต่างก็วายวอดกันถ้วนหน้าทั้งสิ้น
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า 40 ปีของการพัฒนาของจีนนั้น อยู่ในบริบทของระเบียบโลกที่ฝ่ายตะวันตกได้วางไว้ ทั้งในเรื่ององค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก สถาบันการเงินระหว่างประเทศ และองค์การการค้าโลก เป็นต้น ซึ่งการที่จีนจะล้มเลิกระบบโลกนี้ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธสิ่งที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับจีน และหากจีนจะดึงดันที่จะสร้างระบบโลกใหม่ ก็คงจะไม่มีใครเอาด้วยและเป็นไปด้วยความยากลำบาก ฉะนั้นจีนจะต้องช่วยกันพัฒนาระบบโลกนี้ให้ยั่งยืนและทัดเทียมยิ่งขึ้น การหนึ่งคือจีนร่วมกับอินเดีย บราซิล เม็กซิโก และตุรกี ในการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่างๆ ขององค์การดังกล่าวเพื่อให้จีนและประเทศเหล่านี้มีสุ้มมีเสียงและมีที่นั่งในตำแหน่งบริหารให้ทัดเทียมยิ่งขึ้น ก็จะเป็นการดำเนินการที่สร้างสรรค์ และในขณะเดียวกันฝ่ายเจ้าประจำโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ก็ควรจะมีความอะลุ้มอล่วยเปิดทางให้ประเทศดังกล่าวให้มีบทบาทที่สมน้ำสมเนื้อมากยิ่งขึ้นด้วย โลกก็จะมีความร่วมมือเป็นที่ตั้งมากว่าที่จะขัดแย้ง ขัดขา ขัดขวางกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี