สถานการณ์การแพร่ระบาดในเขต กทม. และปริมณฑล ที่ดูจะสาหัสพอสมควรจนผู้ว่าฯ กทม. เองก็ถึงกับออกปากแล้วเหมือนกันกับสถานการณ์ในเมืองหลวง จนต้องถึงพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ที่ต้องออกโรงนั่งหัวโต๊ะบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ กทม. ด้วยตัวเอง ก็ทำให้ได้เห็นการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ กทม. ตั้งแต่การจัดการเรื่องเตียงรองรับผู้ป่วยได้ในทันทีทันใด และเข้ามาลดช่องว่างการประสานความร่วมมือระหว่างกรมการแพทย์ของ กระทรวงสาธารณสุข กับ กทม. และหน่วยราชการอื่นๆ ให้คล่องตัวและทันสถานการณ์มากขึ้น สามารถจัดการเรื่องประชาชนผู้ติดเชื้อไม่มีเตียงรับเข้ารักษาได้ แต่ก็ยังมีการตั้งคำถามว่าการลงมาจัดการปัญหาของนายกฯครั้งนี้ด้วยตัวเอง เป็นการลงมามากเกินไปหรือไม่? เพราะมีคนเป็นห่วงว่าหากไม่สำเร็จจะยิ่งทำให้ท่านนายกฯเปลืองตัวหรือไม่? หรืออาจมีคนตั้งคำถามว่าจะเกี่ยวกับการกระชับอำนาจทางเมืองหรือไม่?
ภาพที่จะเห็นชัดในวิกฤติโควิดที่ผ่านมาคือนายกฯส่งขุนศึกมือดีอย่างเลขาฯ สมช. มาเป็นประธานของศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ชุดเล็ก โดย บิ๊กเล็กหัวโต๊ะ อย่างเลขาฯ สมช. ก็เป็นมือไม้ในการบริหารสถานการณ์ที่ดีมาตลอด สามารถประสานความร่วมมือข้ามกระทรวงได้เป็นอย่างดี และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี จนเริ่มมีปัญหาในเรื่องการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมานี้ ที่ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวเนื่องกับการให้ความร่วมมือกันมากน้อยเพียงใด แต่ก็ทำให้กลไก ศบค. ชุดเล็กดูสะดุดไม่ลื่นไหลในการประสานงานเหมือนแต่ก่อน? การผ่านนโยบายจากนายกฯ และศบค.ไปสู่การปฏิบัติเป็นไปได้ไม่ดีนัก ประกอบกับวิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อรัฐที่ถาโถมเข้ามาในระลอกที่สามนี้ทำให้กลไกการสื่อสารผ่านทีมงานโฆษก ศบค. ถูกตั้งคำถามหลายครั้ง จากทั้งข้อมูลเท็จหรือเฟคนิวส์มากมายที่ถูกปล่อยในโลกออนไลน์ และความล่าช้าในการนำเสนอตอบประเด็นเหล่านี้ ที่ทำให้การสื่อสารโดย ศบค. ถูกมองว่ามีความติดขัดไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นได้
อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ ความขัดแย้งกันของคำพูดผู้มีอำนาจหลายท่านที่เกี่ยวข้องที่ขัดกันเอง ยิ่งตอกย้ำความกังวลของประชาชนจนทำให้สังคมลดความมั่นใจ อาทิ การออกมาพูดเรื่องยาต้านไวรัสของผู้ว่าฯกทม. ที่ว่าจะจัดหาให้ทุกคนที่ติดเชื้อในกทม. แต่ในความเป็นจริงทางสาธารณสุขก็ต้องมีแนวทางการปฏิบัติที่ต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า จนต้องมาปรับท่าทีกันใหม่ ทำให้ประชาชนยิ่งสับสนว่าใครกันแน่คือผู้บริหารสถานการณ์หลัก นี่จึงอาจเป็นเหตุให้นายกฯต้องลงมากู้สถานการณ์ด้วยตัวเอง
นอกจากเรื่องการสื่อสารแล้ว ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ความรวดเร็วในการแก้ปัญหาจึงเป็นส่วนสำคัญ แต่หัวใจของการปฏิบัติได้เร็วคือคำสั่งต้องชัดเจน ถูกต้องและมีเพียงคำสั่งเดียว แต่หลังการตั้ง ศบค. ตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน บทบาทของ รมต. ทุกกระทรวงอยู่ใน ศบค. ข้าราชการถูกวางบทบาทไว้ใน ศปก.ศบค. หมายความว่า รมต.คิดอย่างไร สั่งผ่าน ศปก.ศบค. แต่ด้วยโครงสร้างนี้ ศปก.ศบค. ที่ควรจะเป็นศูนย์ปฏิบัติการเร่งด่วนนั้น กลับไม่สามารถเร่งด่วนได้เพราะหลายหน่วยงานที่อยู่ในนี้มีข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ต้องยึดตามแบบแผนคำสั่งของกระทรวงตนเอง ไม่ได้ยืดหยุ่นต่อการทำงานร่วมกันหรือไม่ จึงทำให้เกิดความล่าช้าจากความไม่ชัดเจนในคำสั่งหลายต่อหลายครั้งหรือไม่? อะไรที่ทำให้คำสั่งนายกรัฐมนตรีสู่การปฏิบัติ ถูกแปลงค่าไปหลายทิศทาง
จึงไม่แปลกนักว่าในโควิดรอบที่ 3 นี้ คำสั่งนายกฯออกมาทันต่อสถานการณ์แต่การปฏิบัติกลับดูทุลักทุเลโดยเฉพาะสาธารณสุขที่อาจถูกมองว่าเป็นทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ร่วมกำหนดแนวทาง แต่ก็มีการสะท้อนจากแพทย์ในพื้นที่ว่าไม่มีข้อสั่งการลงไปถึงการปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมการต่างๆ จนทำให้ล่าสุดเราได้เห็นกลไกภายใต้คำสั่งนายกฯที่6, 7 และ 8 /2564 เป็นคำสั่งตั้งวอร์รูมสู้โควิดระดับกรุงเทพฯ ปริมณฑล โดยนายกเป็น ผอ. ศูนย์ เลขาฯ สมช. เป็นรองซึ่งเปรียบได้กับ ศบค. ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสธ.อีกชุดมาซ้อนกับชุดเดิมที่เลขาฯ สมช. เป็นประธานศปก.ศบคหรือไม่? และแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพื่อสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการโดยไม่ต้องผ่านการขอความเห็นจากกระทรวงสาธารณสุข?
การตั้งศูนย์ปฏิบัติการในระดับอำเภอ และระดับเขต สำนักงานเขต โดยมี ผอ. เขต และ ผอ. ศูนย์บริการสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบ การที่นายกฯตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาในระดับจังหวัด และลงมากำกับการปฏิบัติด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็วางกลไกสู้โควิดไปถึงระดับเขต และปริมณฑล เป็นกลไกซ้อนกลไก ที่สอดรับกันตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงการปฏิบัตินี้ ทำให้หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยได้หรือไม่ว่าต้องการอะไรกันแน่? หรืออาจถูกมองได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาแล้วการที่ให้อำนาจ รมต. เจ้ากระทรวงต่างๆ ทำงานนั้น ผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือมีปัญหาที่ระบบราชการที่อาจมองว่าข้าราชการใส่เกียร์ว่างเอาปัญหาไม่อยู่หรือไม่?
การรวบอำนาจของครม. เข้ามาอยู่ที่นายกฯในรอบนี้ จึงอาจจะใช่เพียงเรื่องโควิดหรือไม่ก็ได้? ประกอบกับ กทม. เองที่ก็มีการหงายไพ่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้และรีบเสนอตัวว่า กทม. จะเป็นผู้ปฏิบัติภายใต้ ศบค. โดยกทม. ชี้แจงว่า สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในระดับที่เกินขีดความสามารถของกทม.และล้นมือบุคลากรที่มีอยู่ ต้องการบูรณาการข้อมูลที่ทันสมัย ทีมบุคลากรเพิ่มเติม เพื่อให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักอนามัย และความร่วมมือกับส่วนราชการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนงานที่ดีที่สุด ซึ่งก็มองได้ 2 ทางคือภารกิจครั้งนี้ กทม. ประเมินแล้วว่าเกินความสามารถของสำนักอนามัยที่มีแพทย์เพียงไม่กี่คน โรงพยาบาลในการกำกับดูแลที่มีไม่มากพอที่จะเผชิญวิกฤติครั้งนี้ หรือว่าเป็นความหละหลวมของกลไกใดก็ตามเองตั้งแต่ต้นที่ไม่มีการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดตั้งแต่ต้นตอสถานบริการ ไปจนถึงสภาพของชุมชนแออัดที่มีมากมายในกทม.ที่ขาดการเฝ้าระวัง ทำให้พบว่าหากไม่มีคนในชุมชนออกมาตรวจโรคเอง หรือออกมาเรียกร้องให้มีการเข้ามาดูแลก็คงไม่มีใครเห็นปัญหานี้?
นอกจากเรื่องโควิด-19 ที่กำลังรุมเร้ารัฐบาล ก็ยังมีเรื่องการเมือง กรณีการวิพากวิจารณ์ของสังคมต่อกรณีที่ร.อ.ธรรมนัส รมช.เกษตรฯ รอดจากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีเนื่องจากเคยเป็นผู้ต้องหาในออสเตรเลีย ต้องจับตามองว่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลด้วยหรือไม่?
โดยประเด็นที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้ก็คือ เรื่องของจริยธรรมของนักการเมือง และแน่นอนลามมาถึงการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี วิกฤติครั้งนี้เข้าทางฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลและเป็นวิกฤติศรัทธาที่ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ กำลังต้องเผชิญ และเมื่อไปเสริมทัพกับกระบวนการปลุกปั่นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือสื่อในเครือข่ายการเมืองที่ทำข่าวลวง ข่าวปลอม หรือข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับสถานการณ์และการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล ซึ่งส่งผลให้เกิดความสั่นคลอนต่อรัฐบาล และศรัทธาของประชาชนต่อพลเอกประยุทธ์ ทำให้การเดินหน้าแก้ไขสถานการณ์ไปได้ไม่เต็มรูปแบบ
การที่พล.อ.ประยุทธ์จะเรียกศรัทธาในครั้งนี้คืนมาได้คงต้องดำเนินควบคู่ทั้งการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เด็ดขาด ถ้าต้องทำคือต้องตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ถ้าต้องลงโทษข้าราชการที่ปล่อยปละละเลยก็ต้องลงดาบให้เห็นเสียที กับอีกด้านที่ต้องทำควบคู่กันอย่างเร่งด่วนคือ การสื่อสารกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน และการตอบโต้สื่อเฟคนิวส์ด้วยความรวดเร็วและช่องทางที่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือเนื้อหาในการสื่อสารที่ต้องถูกต้องและเข้าใจง่าย
หากกู้วิกฤติเมืองกรุงครั้งนี้ได้ ศรัทธาก็จะกลับมาสู่พล.อ.ประยุทธ์อีกครั้ง และคงไม่มีใครกล้าพูดว่าวันนี้ที่ลงมาทำงานเองเสียของเปล่าอย่างแน่นอน
“คมดาบ ยิ่งฝนยิ่งคม มนุษย์ไยมิใช่เป็นเช่นกัน
มนุษย์มากหลายในโลกนี้ ไยมิใช่เติบใหญ่ในท่ามกลางความปวดร้าวขมขื่น”
(โกวเล้ง จากมังกรเมรัย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี