l 1. ในภาวะที่ไทยอยู่ในภาวะวิกฤติใหญ่หลายเรื่อง และเฉพาะหน้าคือ วิกฤติโควิด ภัยที่โลกเผชิญ
นอกจากรัฐบาล จะโดนกระหน่ำจาก “พวกอคติ ฝั่งแค้นลึกในใจ” ที่เล่นไม่หยุดไม่เลิก
ยังมี “บัณฑิต” ส่วนหนึ่ง ที่เคยเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาฯรัฐบาล ออกมาวิจารณ์รัฐบาลแรงฯ
โดย ภาพรวมคือ “ความไม่เข้าใจ ภาวะวิกฤติร่วมกันของชาติ” VS “ระบบการเมืองไทย ที่ใช้แก้ปัญหา”
ที่ทุกภาคส่วน พรรค นักวิชาการ เอกชน ภาคประชาสังคม และสื่อฯ
จะต้องร่วมมือร่วมใจกัน ร่วมกันแก้ปัญหาวิกฤติเฉพาะหน้าให้ผ่าน ลุล่วงไปก่อน
เพราะ “หากวิกฤตินี้ รุนแรงหนัก และเมื่อรวมกับวิกฤติการเมือง เศรษฐกิจ อคติฯ”
จะมีผลทำให้ “นาวาประเทศไทย อับปางลงกลางคลื่นทะเลอารมณ์แรง” ได้
และตอนนั้น เราก็ไม่มีโอกาสทะเลาะ วิพากษ์ วิจารณ์ กัน
อีกแล้ว
l 2. บัณฑิต ที่เคยเข้าร่วมงานกับรัฐบาล และผู้นำปัญญาชน บางส่วน ต่างเห็นตรงกันว่า
“นายกรัฐมนตรี เป็นคนดี ไม่โกง ทำงานเอาจริงฯ”
แต่ เมื่อเวลาผ่านไป
หลายเรื่องที่ทำ หรือ นำเสนอ ไม่บรรลุ ติดอุปสรรคหลายอย่าง
และกล่าวอ้างสรุปว่า “นายกฯ ไม่เชื่อ และทำตาม นักการเมืองไม่ดี”
รวมทั้ง “สรุปว่า”
นายกลุงตู่ ไม่ดี ใช้ไม่ได้แล้ว
และเที่ยว แพร่ “ความคิดนี้” ออกมาสู่สังคม
ให้คน เกิดความเข้าใจไม่ถูกต้อง ต่อ “นายกฯ”
และ พวก อคติ นำเอาไปเผยแพร่ เยาะเย้ย อย่าง สะใจ
l 3. ประเด็นที่เป็นหัวใจ คือ “บัณฑิต” บางคนนี้ อาจจะเก่งเชี่ยวชาญ ในบางด้าน ในระดับ กูรู
แต่มักมีข้ออ่อนและข้อจำกัด ที่สำคัญบางเรื่อง คือ
๑.ติดและหลงใน ระบอบประชาธิปไตย เสรีนิยมของฝรั่ง ขาดความเข้าใจ “ลำดับและช่วงการพัฒนาฯ”
๒.ไม่เข้าใจ ระบบโครงสร้างของการเมืองและสังคมไทย ตามสภาพความเป็นจริงของไทย
3.1 ในข้อแรก “ติดและหลงใน ระบบประชาธิปไตย เสรีนิยมของฝรั่ง”
โดยไม่เข้าใจ โดยเฉพาะ “ช่วงเวลาและระดับการพัฒนา กว่าจะมาเป็นวันนี้ของเขา”
เขาใช้ “การปฏิรูปใหญ่”
ใช้ “อำนาจที่เป็นธรรมฯ” ลดบทบาทของผู้มีอำนาจ และ เพิ่มอำนาจให้กับประชาชน
เขาผ่านอะไรที่เลวร้าย และอาจจะร้ายแรงฯ มากกว่าสังคมไทย ด้วยซ้ำ
แต่กลับ ตัดตอน “เอาวันนี้ ที่เขามีระบบโครงสร้างที่ดีไม่เหลื่อมล้ำ และมีความเป็นธรรม”
มาวัด กับสังคมไทย ที่กำลังเดินทาง อยู่ในช่วงแรกๆ (เมื่อเทียบกับฝรั่งเขา)
ยังต้องการการพัฒนาใหญ่ ในขั้น ปฏิรูป หรือ ปฏิวัติ จึงจะได้ระบบการเมืองและสังคมที่ดี
3.2 ในข้อสอง “ไม่เข้าใจ ระบบโครงสร้างของการเมืองและสังคมไทย ตามสภาพความเป็นจริงของไทย”
ประเทศไทย ระบบโครงสร้างของการเมืองและสังคมไทย เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม
และ ประชาชนขาดคุณภาพ ขาดการพัฒนายกระดับอย่างจริงจัง
และ ที่เป็นปัญหาอุปสรรคใหญ่ คือ “หลักการและวิธีการ ที่ถูกนำมาใช้ในการแก้วิกฤติ”
คือ “ระบบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” ที่เอื้อประโยชน์ให้กับ
กลุ่มคนที่มีอำนาจ มีฐานะ มีทุน มีสื่อ และมีมวลชนของตนฯ
ไอสไตน์ กล่าวว่า “ระบบที่เป็นปัญหา ที่แก้ไม่ได้ เพราะ เราไปใช้วิธีการเก่า
การแก้ปัญหา ต้องใช้ หลักการและวิธีการใหม่”
จากระบบการเมือง การเข้าสู่และได้มาของ “ผู้เข้ามาทำหน้าที่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ”
นอกจาก ไม่สามารถแก้วิกฤติของการเมืองและสังคมไทยได้ยังก่อปัญหาใหญ่มากขึ้นทุกวัน
l 4. จากระบบนี้ หากเราทำความเข้าใจ อย่างเจาะลึกแล้ว จะเห็นว่า
ในสังคมไทย
๑.ไม่มีสถาบัน หน่วยงาน องค์กรใด ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือเหนือกว่ากัน โดยเด็ดขาด
๒.สถาบันและหน่วยงาน องค์กร นั้นๆ ต่างมีอำนาจ ขอบเขตปริมณฑลของตน
๓.แม้ รัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติฯ ก็มีอำนาจ จำกัดของตน
นายกรัฐมนตรี มีอำนาจของตน แต่ก็มีความจำกัด
ในระบบการเมืองแบบเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม
อำนาจใหญ่ อยู่ที่ “นักการเมือง ที่มาจากพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา”
ที่รวมตัว เป็น “รัฐบาล”
นายกรัฐมนตรี ทำได้ไม่น้อยก็จริง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง
และหาก ไม่ได้รับความเห็นชอบ หรือ การร่วมมือกับ “ฝ่ายนักการเมือง” ก็ทำอะไรได้น้อย หรือไม่ได้
ขนาดที่ รัฐบาลชุดนี้ มี รัฐธรรมนูญ ฉบับประชามติ ๒๕๖๐ รองรับ
ทำให้ มีอำนาจต่อรอง กับ “นักการเมือง และ พรรคการเมือง”ได้ในบางระดับ
และนักการเมือง จากพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล
ก็มีความคิดร่วมกัน ที่จะแก้ “รัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ”
เพื่อให้ กลับไปสู่ “การมีอำนาจมากขึ้น” ของนักการเมืองพรรคการเมือง
มิใช่ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติแต่อย่างใด
5. ข้อสรุป บางประการ จากที่กล่าวมาข้างต้น
๑.รัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ต้องบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ระบบเดิม
ซึ่ง ก็ต้องอาศัย “ระบบการเมืองเก่า” ที่นักการเมืองและพรรคการเมืองมีอำนาจฯ
ความเป็นจริงเช่นนี้ ทำให้
(๑) พรรครัฐบาล ก็ยังคงต้องซื้อเสียง ซื้อ สส.ฯ เช่นเดียวกับพรรคฝ่ายค้านฯ
หากไม่ทำ โดยทำการเมืองแบบใหม่ ก็จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง
มาเป็นรัฐบาล
(๒) องค์ประกอบของรัฐบาล ก็ยังต้องอาศัย “นักการเมืองพรรคการเมือง” ในการบริหารงานฯ
ซึ่งมีทั้งดี และไม่ดี
๒.การคิดแบบที่ต้องการให้ รัฐบาล หรือนายกฯ ทำการปฏิรูปใหญ่ บริหารราชการฯ แก้วิกฤติในระบบการเมืองฯแบบนี้ จึงเป็นเรื่องเฟ้อฝัน ไม่จริง
ความหวังที่ต้องการปฏิรูปใหญ่ของระบบและโครงการการเมืองและสังคม อย่างเป็นจริง
ต้องการใช้ “ระบบการเข้าสู่อำนาจรัฐ” ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติฯ อย่างใหม่
ที่ “นักการเมือง พรรคการเมือง กลุ่มทุนที่มิชอบ” จะขัดขวาง
ไม่ยอมรับ และจะล้มฯ
เป็นเรื่องที่ต้องการ ความร่วมมือร่วมใจ ของ พลังมหาชนคนทั้งชาติ ต้องร่วมมือ
และแสดงออกมา
๓.รุ่นน้อง คนเคยมีอุดมคติฯ เคยตั้งคำถามกับผม
เห็นไหม นายกรัฐมนตรี และพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล (ที่พี่เห็นชอบและสนับสนุนอยู่)
ที่บอกว่า “จะปฏิรูปใหญ่” แล้วทำอะไรได้บ้าง (มีน้ำเสียง ของการหัวเราะเยาะ)
ผม ไม่ตอบ โดยตรง แต่ใช้การตั้งคำถามกลับ
แล้วรัฐบาล ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ (ที่บางช่วง เป็นรัฐบาลพรรคเดียว)
รัฐบาลชวน อภิสิทธิ์ ชวลิต บรรหาร
ทำการปฏิรูป อะไรได้บ้าง ?
รุ่นน้องฯ ต่างเงียบสงบ ก้มหน้า น้ำเสียงหัวเราะเยาะ หายไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี