กว่า 1 ปีแล้วกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โรคร้ายที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับผู้ที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก เช่น ผู้สูงอายุผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งหนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงสำคัญคือ “การสูบบุหรี่” โดยมีผลการศึกษาในประเทศจีน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาด ช่วงต้นปี 2563 พบว่า ผู้สูบบุหรี่หากติดเชื้อโควิด-19 จะเสี่ยงต่ออาการป่วยขั้นรุนแรงสูงกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แล้วติดเชื้อถึง 14 เท่า
องค์การอนามัยโลก (WHO) อธิบายว่า บุหรี่นั้นทำลายปอดและและทางเดินหายใจ และเมื่อโควิด-19 เป็นไวรัสที่โจมตีปอด ผู้สูบบุหรี่ที่สุขภาพปอดอ่อนแออยู่แล้วจึงทำให้ต่อสู้กับเชื้อโรคได้ยากขึ้น นำไปสู่ความเสี่ยงป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตที่มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาในประเทศอิตาลี ที่พบว่า การสูบบุหรี่ทำให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วย
เมื่อช่วงต้นเดือนพ.ค. 2564 มีรายงานข่าวที่ พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีอ้างถึงงานวิจัยเรื่อง Central obesity, smoking habit and hypertension are associated with a blunted serological response to COVID-19 mRNA vaccine. โดย พญ.มิกิโกะ วาตานาเบะ ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างในอิตาลี ที่ได้รับวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ ครบ 2 เข็มแล้วพบว่า คนที่สูบบุหรี่จะมีระดับภูมิคุ้มกันเฉลี่ยอยู่ที่1,099 หน่วยต่อมิลลิลิตร (U/ml) ในขณะที่คนที่ไม่สูบบุหรี่จะอยู่ที่ระดับ 1,921 U/ml หรืออาจจะกล่าวได้ว่า คนที่สูบบุหรี่หลังจากได้รับวัคซีนแล้วระดับภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสโควิด-19 จะขึ้นต่ำกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึงร้อยละ 40
รศ.ดร.พญ.ธัญญรัตน์ อโนทัยสินทวี รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)กล่าวถึงกิจกรรมวันงดสูบบุหรี่โลก วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ว่าในปี 2564 นี้ องค์การอนามัยโลกได้ให้คำขวัญว่า “Commit to Quit (ความมุ่งมั่นที่จะเลิกบุหรี่)” ซึ่งมีที่มาคือ ถึงแม้ว่าจะมีคนสูบบุหรี่ประมาณ 780 ล้านคนทั่วโลก อยากจะเลิกบุหรี่ แต่มีเพียงแค่ร้อยละ 30 เท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงบริการช่วยเลิกบุหรี่ ซึ่งบริการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สูบบุหรี่เอาชนะการเสพติดสารนิโคติน ได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ดังนั้น องค์การอนามัยโลก จึงเห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้ผู้สูบบุหรี่ที่อยากเลิกสูบ สามารถเข้าถึงบริการช่วยเลิกบุหรี่ อย่างสายด่วนเลิกบุหรี่ บริการให้คำแนะนำแบบสั้นเพื่อการเลิกบุหรี่ (SMS) คลินิกช่วยเลิกบุหรี่ หรือสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทดแทนนิโคติน (Nicotine Replacement Therapy) ได้มากขึ้น และเพื่อให้เจตนารมณ์บรรลุผล จึงได้จัดตั้งโครงการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญ “Quit Challange” ผ่านช่องทาง WhatsApp ที่จะให้คำแนะนำ
เกี่ยวกับการเลิกสูบบุหรี่
และยังสร้างสังคมดิจิทัล ที่สนับสนุนการเลิกสูบบุหรี่ ผ่านทาง Social Media โดยชักชวนองค์กรเอกชนเข้าร่วม เช่น Allen Carr’s Easyway, Amazon Web Services, Cipla, Facebook, WhatsApp, Google, Johnson & Johnson, Praekelt, และ Soul Machines นอกจากนี้ยังได้ออกเครื่องมือเพื่อช่วยในการเลิกบุหรี่ชื่อ WHO’s 24/7 ที่จะแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย และสเปน เพื่อช่วยให้คนทั่วโลกเข้าถึงคำแนะนำในการเลิกบุหรี่ได้มากขึ้น
“บุหรี่เป็นสาเหตุการตายของประชากรทั่วโลกประมาณ 8 ล้านคนต่อปี และเป็นที่รับรู้กันมานาน แล้วว่าบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งปอดและมะเร็งอีกหลายๆ ชนิดในร่างกาย นอกจากนี้ บุหรี่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหลอดหัวใจและสมอง และที่สำคัญในปีที่ผ่านมา เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 และมีผลการศึกษายืนยันแล้วว่าผู้ที่สูบบุหรี่ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีโอกาสเกิดอาการรุนแรง และมีอัตราตายมากกว่าผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้สูบบุหรี่
ดังนั้นการเลิกบุหรี่ รวมถึงการช่วยเหลือให้ผู้สูบเลิกสูบบุหรี่ จึงมีความสำคัญต่อการลดอัตราการตาย และความเจ็บป่วยของประชากรทั่วโลก นอกจากการสนับสนุน ให้ประชาชนเข้าถึงบริการช่วยเลิกบุหรี่ให้มากที่สุดตามเจตนารมณ์ของ WHO แล้ว ศจย.ยังเป็นอีกหน่วยงาน หลักช่วยผลักดันยาเลิกบุหรี่ให้เข้าไปอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อให้คนที่สูบบุหรี่เข้าถึงยาช่วยเลิกบุหรี่ ได้มากขึ้น รวมถึงสนับสนุนให้สมุนไพรไทยเป็นอีกหนึ่งแพทย์ทางเลือกช่วยเลิกบุหรี่”รศ.ดร.พญ.ธัญญรัตน์ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการที่ได้สนับสนุน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ทำการวิจัย “เมล็ดจามจุรีสีทอง” สำหรับทำเป็นยาเพื่อผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ โดย รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบการหายใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ มศว กล่าวว่า เมล็ดจามจุรีสีทอง สามารถนำมาสกัดสาร “ไซทิซีน (Cytisine)” มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการถอนนิโคติน ทำให้ผ่อนคลายไม่หงุดหงิดในขณะที่เข้าสู่กระบวนการเลิกบุหรี่
ซึ่งยาชนิดนี้ใช้มานานกว่า 60 ปี ในยุโรปตะวันออกถือเป็นยาเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพดีและปลอดภัยมากจึงเป็นยาที่องค์การอนามัยโลกให้การรับรองและสนับสนุนให้รัฐบาลทุกประเทศจัดหาไว้เพื่อช่วยให้ประชาชนของตนเข้าถึงยาเลิกบุหรี่ที่ราคาถูกได้ง่ายขึ้น โดยขณะนี้งานวิจัยของประเทศไทยอยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างที่เข้ารับบริการเลิกบุหรี่ด้วยยาชนิดนี้ 500 คน เทียบกับอีกกลุ่มที่ใช้ยาชนิดอื่นอีก 500 คน โดยจะวิเคราะห์ข้อมูลแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้เมื่อได้ผลการวิจัยที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว อภ.จะทำการขึ้นทะเบียนยากับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) จากนั้นจะผลักดันยานี้ให้เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติต่อไป
“ยาชนิดนี้มีต้นทุนการผลิตที่ไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับยาเลิกบุหรี่ชนิดอื่นๆ ที่มีจำหน่ายอยู่แล้วในประเทศไทยมั่นใจ อภ.จะสามารถกำหนดราคาขายให้มีราคาถูกเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงยาช่วยเลิกบุหรี่ที่ดีและราคาถูกได้อย่างทั่วถึง สำหรับวิธีใช้ยาชนิดนี้ ยามีตัวยาขนาด 1.5 มิลลิกรัม/เม็ด โดยในช่วง 3 วันแรก จะต้องกิน 6 เม็ด/วัน จากนั้นลดขนาดลงเรื่อยๆ เหลือ 5 เม็ด/วัน จากนั้น 4 เม็ด/วัน และ 2 เม็ด/วันไปจนครบ 25 วัน โดยขณะนี้มีงานวิจัยในต่างประเทศที่พยายามหาวิธีการกินยาชนิดนี้ที่ง่ายขึ้น โดยพบว่าอาจกินแค่ครั้ง 2 เม็ด วันละ 3 เวลา ตลอด 25 วันไปเลยก็ได้ผลไม่ต่างกัน” รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี