“สัตว์น้ำ” เป็นหนึ่งในแหล่งอาหารที่สำคัญทั้งของไทยและโลก แต่หนึ่งในปัญหาสำคัญคือ “การจับและบริโภคสัตว์น้ำวัยอ่อน” ซึ่งที่ผ่านมามีการรณรงค์กันอย่าง
ต่อเนื่องว่า “อย่าทำ” เพราะเป็นการทำลายความยั่งยืนของทรัพยากร รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ที่มีเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ปลาเล็กๆ เราไม่...ปลาใหญ่ๆ เรากิน : ชาวประมง x วรรณสิงห์” โดยมีพิธีกรหนุ่มสายลุยอย่าง วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล รับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ
ธันวา เทศแย้ม ชาวประมงรุ่นใหม่ เล่าว่า ออกเรือทำประมงตั้งแต่อายุ 12 ปี ส่วนใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยจับได้อย่างน้อย 300 กิโลกรัมขึ้นไป แต่ระยะหลังๆ จำนวนปลาทูเริ่มน้อยลงเป็นอย่างมาก โดยการทำประมงนั้นสามารถแบ่งออกได้ 2 รูปแบบ คือ 1.การจับแบบแยกประเภท ซึ่งจะกำหนดไว้แล้วว่าจะจับสัตว์น้ำชนิดไหน ก็นำเครื่องมือที่จับสัตว์น้ำชนิดนั้นมาใช้ เช่น จับปูม้า ก็นำอวนจับปูม้ามาใช้ หรือจับกุ้ง ก็นำอวนจับกุ้งมาใช้ ซึ่งการจับแบบนี้จะนำไปสู่ความยั่งยืนกับท้องทะเล
2.การจับแบบเหมารวม คือการสร้างเครื่องมือการจับเพียงชิ้นเดียว แต่เป็นการทำตาอวนให้ถี่ ที่เห็นได้ชัดเจนคือ “อวนลากคู่” ซึ่งเป็นการลากอวนจากกลางน้ำถึงหน้าดิน โดยสัตว์ที่จะจับได้มักได้เป็นเต่า ปลาตัวเล็ก เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือชนิดนี้ไม่สามารถเลือกจับได้ จึงทำให้ทรัพยากรของปลาน้อยลง การทำประมงแบบหลังนี้เองนำมาสู่การผลักดันหัวข้อรณรงค์ในแคมเปญ “ปลาเล็กๆ เราไม่..ปลาใหญ่ๆ เรากิน” หวังให้ทุกคนไม่บริโภคลูกสัตว์น้ำ
“อยากให้ทะเลของไทยมีปลาให้จับ จะได้สืบสานอาชีพประมงต่อไป และไม่ต้องนำเข้าปลาจากประเทศเพื่อนบ้าน การจับสัตว์น้ำวัยอ่อนเปรียบเสมือนเป็นการตัดวงจร โดยในประเทศไทยมีฤดูห้ามการจับปลา ซึ่งเป็นฤดูที่ปลาวางไข่ แต่ปัญหาก็ยังอยู่เพราะปลาไม่มีโอกาสได้เติบโตเพราะถูกจับมาก่อนวัย แคมเปญดังกล่าวจะเน้นกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต เนื่องจากมีการกะจายสินค้าไปทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นการสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รับรู้มากที่สุด” ธันวา กล่าว
ขณะที่ชาวประมงอีกราย จิรศักดิ์ มีฤทธิ์จาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในท้องทะเลมานานถึง 36 ปี ตั้งข้อสังเกตเรื่อง “การทำประมงโดยใช้เครื่องปั่นไฟ” ที่ผ่านมามีข้อห้ามทำประมงในเวลากลางคืน เนื่องจากปลาจะชอบแสงไฟ ซึ่งรวมถึงลูกปลาที่ยังไม่โตเต็มวัยด้วย แต่ก็พบว่ามีการใช้วิธีเปิดไฟแช่ทิ้งไว้โดยเมื่อถึงเวลาเช้าก็จับปลาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่เรียกว่า “อวนครอบช้อนยก”ซึ่งกฎหมายไม่ได้ห้ามใช้
“ไม่ค่อยมีชาวประมงให้ความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะทุกอย่างมีมูลค่า เช่น ถ้าหาปลาไม่ได้ก็ได้ค่าน้ำมันในการออกเรือจากนายทุน ซึ่งการแก้ปัญหาจะต้องควบคู่ไปทั้ง 2 อย่าง คือ 1.ข้อกฎหมาย จากบทลงโทษที่แรงขึ้นส่งผลให้ทำผิดน้อยลง และ 2.การรณรงค์ ซึ่งเป็นการขอความร่วมมือจากซูเปอร์มาร์เก็ตและผู้บริโภค ซึ่งทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน โดยสังเกตได้จากอาหารทะเลที่แพงขึ้น เพราะสัตว์ทะเลหายาก ถ้าหากอยากให้อาหารทะเลถูกลง ทุกคนต้องช่วยกันไม่ซื้อ ไม่กินไม่ขายลูกปลา ถือได้ว่ามีผลกะทบกับทุกคนในประเทศถ้าปลาหมดทะเล” จิรศักดิ์ ระบุ
ด้าน วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า การนับว่าอะไรคือสัตว์น้ำวัยอ่อนจะนับการที่วิธีการสืบพันธุ์ หรือขยายพันธุ์ไม่ได้ ซึ่งจะมีวัยอ่อนหลายระดับ เช่น ระดับทารก ระดับวัยรุ่น ระดับก่อนแต่งงาน เป็นต้น ตัวอย่างเช่น “ปลากะตัก”จะมีหลายชื่อเรียกในแต่ละท้องถิ่น แต่เป็นสายพันธุ์เดียวกัน โดยขนาดทารกมักเรียกว่า “ปลาข้าวสาร” ซึ่งเป็นตัวอ่อนของปลากะตัก พอเติบโตขึ้นมาจะเรียกว่า “ปลาสายไหม” ซึ่งจะมีความยาวลำตัวยืดขึ้น แต่ยังไม่โตเต็มที่ พอโตเต็มวัยแล้วจึงจะเรียกว่าปลากะตัก
“ข้อมูลการจับปลาในไทย พบว่าปลาที่ไทยจับได้มากที่สุดในปัจจุบันคือปลากะตัก โดยจับสัตว์น้ำประมาณ 1.4 ล้านตันต่อปี แบ่งเป็นกลุ่มปลา 1 ล้านตัน
ย่อยออกเป็นปลาเป็ด 3 แสนตัน และอีก 7 แสนตันเป็นกลุ่มปลาที่บริโภค ซึ่งใน 7 แสนตันจะมีปลากะตักอยู่ประมาณ 1.4 แสนตัน โดยการจับในแต่ละครั้งจะมีปลาวัยอ่อนในนั้นด้วย เช่น ลูกปลาทู ลูกปลาอินทรีลูกปลาสาบ รวมไปถึงปลาสายไหมและปลาข้าวสารด้วย แต่เวลารายงานผลการจับปลาจะรวมกลุ่มเป็นปลากะตักทั้งหมด เพราะจับโดยเรือจับปลากะตัก”วิโชคศักดิ์ กล่าว
ปิดท้ายด้วยมุมมองนักวิชาการ เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ และผู้ร่วมก่อตั้งเพจ Rereef ให้ความเห็นว่า เมื่อพูดถึงสัตว์น้ำวัยอ่อน หรือสัตว์น้ำที่ไม่ได้ขนาด ในแง่ของการจัดการประมงคือการสูญเสีย และเป็นเครื่องมือแรกๆ ในการที่จะทำอย่างไรให้การประมงเกิดความยั่งยืน นั่นคือต้องมีเรื่องของการควบคุมเรื่องของขนาด ตามจริงหลายๆประเทศออกเป็นกฎหมายกันมานานแล้ว ซึ่งประเทศไทยก็มีกฎหมายที่ควบคุมสัตว์น้ำวัยอ่อนเช่นกัน แต่ยังไม่มีประกาศ
จากรัฐฯขึ้นมารองรับ
“เมื่อมองในมุมทรัพยากรธรรมชาติ ปลามีหน้าที่เหมือนสัตว์ป่าบนบก ฉะนั้นทะเลที่จะอุดมสมบูรณ์ได้จะต้องมีความหลากหลาย แต่สิ่งที่ทั่วโลกเผชิญปัญหา คือ การจับสัตว์น้ำที่มากเกินไป ปลาที่ทำหน้าที่ปรับสมดุลในท้องทะเลจึงถูกใช้ประโยชน์ ยิ่งชนิดไหนเป็นที่ต้องการยิ่งถูกจับเยอะขึ้น จากข้อมูลที่มีพบว่าปลาขนาดใหญ่
ทั่วโลก เมื่อเทียบกับ 50-60 ปีที่แล้ว มีจำนวนลดลงมากถึงร้อยละ 90
จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีการจับปลาที่ไม่เคยบริโภคมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ของตลาดอาหารทะเล ซึ่งจะพยายามหาสิ่งที่ผู้บริโภคไม่คุ้นชิน โดยการเปลี่ยนชนิดของปลา เปลี่ยนชื่อของปลา หรือการจับสัตว์วัยอ่อนเข้ามาสำแดงเป็นอาหารทะเลชนิดใหม่สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ที่ว่า ปลาถูกจับมากเกินไป จะต้องไปจับปลาชนิดอื่นเข้ามาแทน”นักวิชาการผู้นี้ อธิบาย
เพชร ยกตัวอย่าง เมื่อ 5-6 ปีก่อน ซึ่งมีกะแสของการบริโภคปลานกแก้วเกิดขึ้น ปลาชนิดนี้ในไทยไม่ค่อยบริโภคกันเท่าไร แต่มีความพยายามที่จะหาตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนนักวิจัยก็เร่งแก้ปัญหาปะการังฟอกขาว เนื่องจากปลานกแก้วมีความสำคัญในการควบคุมไม่ให้สาหร่ายมาปกคลุมปะการัง การรณรงค์จึงทำให้คนเห็นภาพมากยิ่งขึ้น หากจะอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเลจะต้องมีการจัดการประมงให้ยั่งยืน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี