เอ็นจีโอ หรือองค์กรเอกชนไม่หวังผลกำไร ส่วนใหญ่เป็นแนวร่วมของการก่อการร้ายหรือไม่ก็ทำลายความมั่นคงภายในของชาติต่างๆ เราจึงให้การสนับสนุนและดีใจที่รัฐบาลไทย อนุมัติหลักการร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือผลกำไรมาแบ่งปันกัน
หากร่าง กม.ที่ว่าถ้าผ่านสภาและประกาศใช้ควบคุมตรวจสอบการรับเงินที่เอ็นจีโอรับจากต่างชาติและตรวจสอบการใช้จ่าย มั่นใจว่าเหตุการณ์ร้ายและการก่อจลาจลวุ่นวายต้องหมดไปหรือไม่ก็ลดลงอย่างมีนัย เนื่องจากว่าเอ็นจีโอและองค์กรภาคเอกชนส่วนใหญ่ เน้นว่าส่วนใหญ่....ไม่ใช่ทุกคนหากินอยู่ความวุ่นวายหรือไม่ก็เป็นแนวร่วมการก่อการร้าย บางรายไปไกลถึงกับสนับสนุนกลุ่มคนร้ายที่มุ่งเป้าหมายทำลายสถาบันหลักของชาติ
ในเมืองไทยกลุ่มเอ็นจีโอส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแอมเนสตี้ฯ ตัวแทนฮิวแมนไรท์วอทช์ กลุ่ม Ilaw หรือกลุ่มสิทธิมนุษยชน แม้แต่ลูกจ้างบางคนของสำนักงานลี้ภัยข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) และเอ็นจีโออื่นๆ ส่วนใหญ่ฝักใฝ่สนับสนุนคนร้ายที่มุ่งทำลายสถาบันหลักของชาติ
ทุกครั้งที่กลุ่มคนรุ่นใหม่เคลื่อนไหวมุ่งเป้าหมายไปที่ทำลายสถาบันหลักชาติ กลุ่มเอ็นจีโอทั้งหลายก็ส่งเสียงเชียร์ให้การสนับสนุน หากกลุ่มคนร้ายที่มุ่งทำลายสถาบันถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย กลุ่มเอ็นจีโอทั้งหลายก็เรียกร้องกดดัน ให้ปล่อยตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยอ้างกฎหมายสากลบ้าง อ้างหลักยุติธรรมสากลบ้าง อ้างสิทธิมนุษยชนบ้าง อ้างว่ารัฐบาลทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองบ้างเอ็นจีโอเหล่านี้ส่วนใหญ่แกล้งโง่ทำเป็นจำแนกไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง กับฝ่ายต่อต้านมุ่งร้ายทำลายสถาบันแตกต่างกันอย่างไร
นี่ยังไม่รวม เอ็นจีโอที่รับเงินมาจาก (NED) National Endowment for Democracy หรือ ซีไอเอฝ่ายพลเรือนของสหรัฐอเมริกา และ Open Society ของนายจอร์จ โซรอส พวกรับเงินมาจาก NED เช่นนางหทัยรัตน์ พหลทัพ เมียนายเดวิด สเตร็คฟัสส์ ที่รับเงินสนับสนุนจาก NED มาอ้างว่าเพื่อทำโครงการพัฒนาสื่อมวลชนในภาคอีสาน
แต่ในความจริงนางหทัยรัตน์กับนายสเตร็คฟัสส์ที่ถูกสังคมสงสัยว่าเป็น ซีไอเอ เน้นการเคลื่อนไหวเพื่อให้ล้มล้างยกเลิก กม.อาญามาตรา 112 ซึ่งเป็น กม. คุ้มครองสถาบัน นอกจากนั้นยังจัดตั้งและเคลื่อนไหวในนามกลุ่มดาวดินในภาคอีสาน ส่วนเอ็นจีโอที่รับเงินมาจากโอเพ่นโซไซตี้ของนายจอร์จ โซรอส มักมีข้อครหาว่ามีส่วนให้การสนับสนุนการก่อจลาจลและการก่อการร้าย
ในประเทศสหภาพพม่าหลังจากพลเอกมิน อ่องหล่าย ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ประชาชนออกมาต่อต้านโดยการประท้วงแบบอารยะขัดขืน ในอาทิตย์แรกผู้ประท้วงเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่หลังๆ มาเริ่มก่อจลาจล ในที่สุดกลายเป็นการก่อการร้าย จนรัฐบาลจับได้ว่าเงินที่ใช้ในการก่อจลาจลและก่อการร้ายได้มาจากกลุ่มเอ็นจีโอที่ทำงานให้กับโอเพ่นโซไซตี้ของนายจอร์จ โซรอส
หลังจาก คณะบริหารแห่งรัฐหรือ State Administration Council (SAC) ตรวจค้นสำนักงานโอเพ่นโซไซตี้ในเมืองย่างกุ้ง และจับกุมเจ้าหน้าที่โอเพ่นโซไซตี้ได้หนึ่งคน พร้อมกับหลักฐานว่าสำนักงานโอเพ่นโซไซตี้เป็นเส้นทางถ่ายโอนเงิน และเป็นแหล่งเงินสนับสนุนต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า
ที่ภายหลังถูกรัฐบาลทหารพม่าตราหน้าว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย เพราะฝ่ายต่อต้านได้จัดตั้งรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาขึ้นมาพร้อมกับจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ที่เรียกชื่อว่ากองกำลังพิทักษ์ประชาชนหรือ People Defence Force นอกจากนั้นรัฐบาลทหารยังตามล่าเจ้าหน้าที่ของโอเพ่นโซไซตี้อีก 11 คน ที่จัดการเรื่องผ่านโอนเงินจากต่างชาติมาให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารและสมคบกับต่างชาติปลุกระดมให้ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า
ในประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย รัฐบาลอินเดียสั่งยึดเงินของแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานความผิดใช้เงินผิดประเทศ โดยรัฐบาลอินเดียมีหลักฐานว่าแอมแนสตี้ใช้เงินสนับสนุนการคัดค้าน กม.ปฏิรูปเกษตรและก่อจลาจลในอินเดีย จนสุดท้ายแอมเนสตี้ต้องปิดสำนักงานในอินเดียและกล่าวหาว่ารัฐบาลอินเดียล่าแม่มดกลั่นแกล้งจนทำงานไม่ได้ คำว่า “ล่าแม่มด” เป็นวลีติดปากที่ถูกยัดใส่สมองของเอ็นจีโอ ให้พูดออกมาเมื่อถูกจับได้ว่าใช้เงินผิดประเภท เช่นใช้เงินสนับสนุนการก่อการร้าย
ในประเทศอินเดีย ในสหภาพพม่า ใน สปป.ลาวในประเทศกัมพูชา ฯลฯ พวกเอ็นจีโอที่สมคบกับต่างชาติสนับสนุนการต่อต้านรัฐบาลจนกลายเป็นการก่อการร้ายเมื่อถูกจับได้ รัฐบาลในประเทศนั้นๆ ก็จัดการกับเอ็นจีโอขั้นเด็ดขาด โดยการปิดสำนักงาน หากพนักงานเป็นคนท้องถิ่นก็ดำเนินการตามกฎหมายภายในประเทศ ถ้าเป็นต่างชาติก็เนรเทศออกจากประเทศ
มีแต่ประเทศไทยนี้แหละที่ปล่อยให้เอ็นจีโอรับเงินต่างชาติมาทำลายความมั่นคงภายใน มาโจมตีใส่ร้ายทำลายสถาบันสูงสุดของชาติอยู่ได้เป็นสิบๆ ปี โดยที่ไม่มีใครทำอะไร ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเกรงใจต่างชาติ แต่ส่วนสำคัญคือเกรงใจเกรงกลัวการเมืองภายใน เพราะในประเทศไทยมีพรรคการเมือง มีนักการเมืองจากหลายฝ่ายที่ร่วมออกปัจจัย เพื่อเอาเอ็นจีโอมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
พรรคการเมืองบางพรรคก่อตั้งโดยเอ็นจีโอและมีเป้าหมายทำลายสถาบันโดยเฉพาะ พรรคนี้มีอดีตเอ็นจีโอและกลุ่มต่อต้านสถาบันเป็น สส.อยู่เกือบทั้งพรรค และพรรคฝ่ายค้านบางพรรคที่มีพื้นฐานมาจากทุนสามานย์ปล้นชาติพยาบาทสถาบันก็ยอมจ่ายเงินให้เพื่อใช้เอ็นจีโอเป็นเครื่องมือทางการเมือง สรุปแล้วเอ็นจีโอรับเงินทั้งจากต่างชาติและจากนักการเมืองภายในประเทศ พวกเขาจึงอยู่ดีกินดีมีเงินใช้มีชีวิตอู้ฟู่สุขสบายภายใต้ฉากบังหน้าว่าทำเพื่อสังคม
ตัวอย่างง่ายๆ เหตุผลที่ทำไมลูกจ้างบางคนของ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ถึงได้เน้นให้ความช่วยเหลือสมุนบริวารของทุนสามานย์ปล้นชาติพยาบาทสถาบันช่วยให้คนทำผิดอาญามาตรา 112 ได้สถานะผู้ลี้ภัยได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นนายตั้ง อาชีวะ และอดีตรองประธานสภาฯ ผู้ได้สมญานามว่า รองโรมานอฟผู้ล่วงลับ และผู้ละเมิด กม.อาญามาตรา 112 อีกหลายรายที่หนีออกนอกประเทศไปได้อย่างสะดวกสบาย
และเมื่อไปถึงจุดหมายก็ได้สถานะผู้ลี้ในทันที เพราะลูกจ้างยูเอชเอนซีอาร์บางคนได้รับเงินเดือนจากยูเอ็นเอชซีอาร์ถูกต้องตามกฎหมายและสงสัยว่าได้รับเงินใต้โต๊ะจากทุนสามานย์ปล้นชาติพยาบาทสถาบันเพื่อให้ช่วยเหลือผู้ที่ทำผิด กม.อาญามาตรา 112 นี้แหละคือเหตุลที่เราสนับสนุนรัฐบาลให้เร่งรีบออกกฎหมายมาตรวจสอบรายได้และการใช้เงินของเอ็นจีโอ
ตามที่ นางสาวรัชดา ธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่23 กุมภาพันธ์ 2564 อนุมัติหลักการร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือผลกำไรมาแบ่งปันกันและร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมพ.ศ. … โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) นำไปประกอบการพิจารณายกร่างกฎหมายและเปิดรับความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้ง
วันนี้ ครม. มีมติเห็นชอบเพิ่มเติมหลักการร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง(Anti-Money Launderingand Combating the Financingof terrorism : AML/CFT) จำนวน 8 ข้อ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ สำหรับสาเหตุที่ต้องเพิ่มเติมหลักการร่างกฎหมายในครั้งนี้ เนื่องจากไทยเป็นสมาชิกของกลุ่มต่อต้านการฟอกเงินเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Group on Money Laundering: APG) ซึ่งประเทศสมาชิกจะต้องเข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล (AML/CFT)
โดยผลการประเมินความสอดคล้องด้านกฎหมายองค์กรไม่แสวงหากำไรของไทยรอบที่ 3 มีความสอดคล้องเพียงบางส่วน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแลองค์กรไม่แสวงหากำไร ในส่วนที่ยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล จำนวน 8 ประเด็น ประกอบด้วย....
ในจำนวนแปดประเด็น ที่สำคัญที่สุดคือ กม.การฟอกเงินสนับสนุนผู้การร้ายให้เป็นไปตามหลักการฟอกเงินของกลุ่มต่อต้านการฟอกเงินกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเราเป็นสมาชิกต้องปฏิบัติตามหลักการของกลุ่ม ดังนั้นประเทศไทยไม่ต้องเกรงใจต่างชาติอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวข้อกล่าวหาว่า “ล่าแม่มด” เพราะเราออกกฎหมายและบังคับใช้ตามหลักสากลในการต่อต้านการฟอกเงิน
วันไหน กม. นี้ผ่านสภาและมีผลบังคับใช้เราเชื่อว่า #การต่อต้านสถาบันฯ การผลักดันให้แก้รัฐธรรมนูญ ตามอำเภอใจเอ็นจีโอและความวุ่นวายภายในต้องลดน้อยลงไปอย่างมีนัยเพราะว่า เอ็นจีโอจะถูกตรวจสอบรายได้และเงินที่นำมาใช้จ่ายสนับสนุนให้เกิดความวุ่นวายทำไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี