ปรากฏการณ์พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่เป็นขวัญใจคนไทยทั้งประเทศ ตั้งแต่ยุวชน เยาวชนจนไปถึงคนสูงวัย เกษียณแล้วท่านไม่หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนชุดทหารใส่สูทสากล เป็นที่ปรึกษาผบ.ทบ. จึงพูดได้ว่าท่านยังเป็นขวัญใจคนไทยไปอีกนาน
นานแล้วไม่ได้เห็นคนไทยรักศรัทธา นิยมทหารอย่างนี้โดยเฉพาะ เยาวชนคนหนุ่มสาวในสถาบันการศึกษา นิยมศรัทธาเชิญแม่ทัพไปบรรยาย “ความจริงจากชายแดน” ทั้งระดับชั้นประถมถึงระดับอุดมศึกษา แม่ทัพได้รับความศรัทธา คำบรรยายง่ายๆ ได้รับเสียงกรี๊ดและตั้งคำถามชนิดที่ติ่งพรรคส้มหันหลังฟังไม่ได้
แม่ทัพภาคที่ 2ได้เปลี่ยนทัศนคติต่อเยาวชนให้หวงแหนอธิปไตย ยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ชนิดที่พรรคส้มคาดไม่ถึงว่า ฐานเสียงของพวกเขา เปลี่ยนได้ถึงขนาดนี้
ด้วยความกลัวว่า เยาวชนที่เคยถูกพรรคส้ม ล้างสมองใช้เป็นเครื่องมือ ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ เปลี่ยนจากที่คลั่งไคล้พรรคส้มไปนิยมทหาร และคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปคนรุ่นใหม่อาจหันหลังให้พรรคส้ม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำจิตวิญญาณพรรคส้มถึงกับสำรอกออกมาว่า
#ผมตกใจถึงการกลับมาของการไว้วางใจทหาร อันนี้น่ากังวลมาก ทหารไม่สามารถให้ความเห็นเรื่องนี้ได้ และต้องฟังพลเรือน การใช้สถานการณ์สร้างอารมณ์ ความรู้สึกชาตินิยมล้นเกินจะนำไปสู่ความเกลียดชังในสังคม”
นายธนาธร อาจหมายถึงสิ่งที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชาปล่อยให้ทหารตัดสินใจ นอกจากนั้นนายธนาธร คงกังวลที่แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับเชิญบรรยายในสถาบันศึกษาคิวยาวไปปีหน้า พ้นจากตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 2 สิ้นเดือนกันยายน พลโทบุญสิน เพิ่มความถี่การบรรยายในสถาบันศึกษามากขึ้น ในฐานะที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก
“แม่ทัพบุญสิน” ผู้ชายสไตล์บ้านๆ จุดไฟชาตินิยมให้ลุกโชนกลางใจคนรุ่นวัย Gen Z (16 ถึง 28 ปี ) พ่วงด้วย Gen Alpha (1-14 ปี) ชนิดโลกตะลึง
ช่วงปี 2563-2564 ปรากฏการณ์ “สามนิ้ว” แพร่ระบาดอย่างน่าตกใจ ในกลุ่มรุ่นวัย Gen Z และ Gen Alpha และเมื่อเกิดนักกิจกรรมหัวก้าวหน้าในนามกลุ่มราษฎร กลุ่มทะลุวัง กลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มดาวดิน ฯลฯ ปรากฏการณ์การแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ ได้ทำให้ “พรรคก้าวไกล” เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และชนะเลือกตั้งในปี 2566
ภาพการเมืองสีส้มเต็มแผ่นดิน ส่งผลให้ “ชนชั้นนำ” รู้สึกวิตกทุกข์ร้อน หวาดหวั่นกระแสคนรุ่นใหม่ จึงทำให้เกิด “ดีลลับข้ามขั้ว” ระหว่างทักษิณและชนชั้นนำ
พลันที่มีวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2568 มาพร้อม “ปรากฏการณ์บุญสิน” แม่ทัพภาคที่ 2 เดินสายทอล์กโชว์รายวัน ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ กลายเป็น อินฟลูเอนเซอร์ขวัญใจวัยรุ่น
ความนิยมในตัวพลโทบุญสิน ในฐานะตัวแทนกองทัพไทยยิ่งสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ความตกต่ำของพรรคส้มกับพรรคสีแดงย่ำแย่ลงมากเท่านั้น จึงพูดได้ว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลสี่เดือนครั้งนี้ เพื่อเตรียมเป็นรัฐยาวนานจากการเลือกตั้งครั้งต่อไป
พรรคส้มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเลือกตั้งปี 2566 การเลือกตั้งครั้งต่อไปราวๆ ต้นปีหน้า ถึงวันนั้นพรรคส้มได้ สส.ครึ่งหนึ่งของการเลือกตั้งปี’66 ก็นับว่าปาฏิหาริย์
ปรากฏการณ์ความนิยมในกองทัพ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาของพรรคส้ม ประกอบกับพรรคส้มตกต่ำ เพราะไม่มีผลงาน โจมตีทหาร ไม่ลดละเรื่อง
เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน
เลวร้ายที่สุด คือ คนรุ่นใหม่ซึ่งฐานเสียงของพรรคส้มเริ่มหูตาสว่าง แกนนำรุ่นแรกติดคุก 100 กว่าคน อยู่ระหว่างดำเนินคดีกว่า 150 คน หนีไปต่างประเทศอย่างน้อย 10 คน แกนนำคนรุ่นใหม่ไม่ได้ต่อสู้เพื่อปากท้องประชาชน แต่คนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานเสียงพรรคส้มเคลื่อนไหวเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ และด้อยค่าทหาร เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป พรรคส้มจึงไม่เหลือความนิยม
ส่วนพรรคเพื่อไทย ที่เป็นรัฐบาล 2 ปี ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง 2 คน ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกฯที่พ้นจากตำแหน่งคนหลัง ยังถูกคนไทยประณามว่าขายชาติ ที่ไปบอกอริราชศัตรูว่า แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล เพื่อไทยและรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งเป็นเหตุให้นายกฯ ตกจากเก้าอี้ ทั้งๆ ที่ตกต่ำ ก่อนหน้านี้เนื่องจากไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ ความสามารถ ไร้วุฒิภาวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะบิดาจัดให้
เมื่อศาลฯมีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าคุก 1 ปี เมื่อวันที่ 9 กันยายน พรรคเพื่อไทยจึงไม่ต่างอะไรกับพรรคผีหัวขาด น.ช.ทักษิณที่เคยใช้อิทธิพลบารมี ตอนหนีคุก และอยู่โรงพยาบาล 180 วัน สามารถบริหารจัดการหลังฉากให้พรรคเพื่อไทยได้ แต่การเข้าคุกครั้งนี้ น.ช.ทักษิณไม่สามารถเคลื่อนไหวใดๆ ทางการเมืองได้
พรรคภูมิใจไทยจึงบริหารประเทศไทย ตามข้อตกลงกับพรรคประชาชนได้อย่างราบรื่นโดยไม่ผิดข้อตกลงใดๆ อันดับแรก คือ ยุบสภาภายใน 4 เดือน ข้อนี้พรรคภูมิใจไทยยุบสภาได้ก่อน 4 เดือนยิ่งดี เพราะนับจากนี้มีนักการเมืองแห่กันมาสมัครเข้าพรรคภูมิใจไทยไม่ต่ำกว่า 50 คน
ในเวลาเดียวกัน เกิดอาการเลือดไหลครั้งใหญ่จากเพื่อไทย นักการเมืองบ้านใหญ่ ทิ้งเพื่อไทยไม่น้อยกว่า 30 คน หากนับรวมกับสส.ที่ไหลจากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคประชาธิปัตย์ มารวมกับพรรคภูมิใจไทย การเลือกตั้งต้นปีหน้า พรรคภูมิใจไทย อาจได้ สส.เข้าสภาถึง 150 คน
พรรคส้มกับพรรคแดง ซึ่งเป็นคู่แข่งพรรคภูมิใจไทยได้สส.เข้าสภาไม่เกินพรรคละ 80 คน พรรคประชาธิปัตย์ หากขจัดปรสิตออกจากพรรคได้ มีเลือดเนื้อเชื้อไขที่มีอุดมการณ์ประชาธิปัตย์เข้ามาบริหาร ก็เชื่อว่าประชาธิปัตย์จะได้ สส.เข้าสภามากกว่าการเลือกตั้งครั้งปี 2566
ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เหมือนกับพรรคเฉพาะกิจทั่วไปที่ล้มหายตายจากไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยพรรค
จึงพูดได้ว่ารัฐบาลภูมิใจไทยทำตามข้อตกลงกับพรรคประชาชนได้อย่างราบรื่น เนื่องจากสถานการณ์อำนวยการยุบสภาภายใน 4 เดือน ไม่มีการบิดพลิ้ว เพราะพรรคภูมิใจไทยมีแต่ได้กับได้ รัฐบาลนายอนุทิน ได้มีกำหนดจะแถลงนโยบายต่อสภาเมื่อวันที่ 29-30 กันยายนนั้น หมายความว่า 4 เดือน ก่อนยุบสภานับหนึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม
หลังจากแถลงนโยบายต่อสภาเชื่อว่า รัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้า คือนโยบาย“คนละครึ่ง” รัฐบาลเริ่มโดยนโยบายคนละครึ่งที่คนส่วนใหญ่พอใจ และทำนโยบายคนละครึ่งให้รูปธรรมได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 วัน ในห้วงเวลานั้นพรรคเพื่อไทยกระเหี้ยนกระหือรืออย่างไรก็ไม่กล้ายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
วันที่ 31 ตุลาคม ปิดประชุมสภาสมัยสามัญ 3 เดือน สรุปว่า 4 เดือนรัฐบาลเฉพาะกาล ไม่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แถมไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เนื่องจากในระหว่างการหารืออย่างไม่เป็นทางการของ 3 พรรคการเมือง มีการระบุถึงกรอบเวลาในการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เอาไว้ ดังนี้
1.ภายในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนกันยายน 3 พรรคเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15 ต่อประธานรัฐสภา
2.เดือนตุลาคม รัฐสภาพิจารณาและผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1
3.เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาร่าง (ช่วงปิดสมัยประชุมสภา)
4.เดือนธันวาคม รัฐสภาพิจารณาและผ่านความเห็นชอบในวาระ 2 และวาระ 3
5.ปลายเดือนมกราคม 2569 ยุบสภาตามเงื่อนไขที่ระบุใน MOA ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน
6.ปลายเดือนมีนาคม 2569 จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป พ่วงกับการออกเสียงประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลนายอนุทิน ยินดีทำตามกรอบเวลาทุกประการ แต่หากมองจากความเป็นจริง ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่มีสภาชุดไหนแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญได้ตามกรอบเวลาที่นักการเมืองกำหนด มักมีเงื่อนไขอุปสรรคหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างทาง
โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี’60 ต้องทำประชามติสามครั้ง ครั้งที่ 1 กับ ครั้งที่ 2 อาจรวมกันได้โดยพรรคการเมืองตั้งเป้าหมาย ให้ทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2569
พิเคราะห์จากความจริงที่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มองว่า รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง ที่มีปัญหากับนักการเมืองคอร์รัปชั่น ไม่มีธรรมาภิบาล ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงเท่านั้น รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่มีมาตราใดสร้างความเดือดร้อนให้คนไทยทั่วไป
จึงทำนายล่วงหน้าว่า ประชาชนส่วนใหญ่กว่า 50% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ลงมติให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2560 แล้วตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อเอาใจนักการเมือง สรุปว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือนสร้างความนิยม เพื่อยุบสภาชนะเลือกตั้งแล้วกลับมาเป็นรัฐบาลอยู่นานอาจครบวาระสี่ปี
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี