พรรคประชาธิปัตย์ที่เงียบหายไปจากสภากาแฟนานกว่าสามปี วันนี้กลับมาเป็นประเด็นถกกันใหม่ ในสภากาแฟของคอการเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อมีความคาดหมายว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทยจะกลับมาสมัคร เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งในวันที่ 18 ตุลาคม นี้
สภากาแฟที่มีสมการการเมืองเฉพาะสามพรรคใหญ่ ได้แก่ ค่ายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน ก่อนยุบสภาเลือกตั้งใหม่ กับพรรคส้ม ผู้ตั้งเงื่อนไขให้ค่ายน้ำเงิน มีภาระหน้าที่เปิดทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่และยุบสภาเท่านั้น ส่วนค่ายสีแดง ก็ประกาศจะกลับมาใหม่ด้วยผลงานชิ้นโบดำ 2 ปีที่ผ่านมา
แต่พลันที่มีข่าวนายอภิสิทธิ์ กลับมาพร้อมกับอดีตสส.ประชาธิปัตย์ ที่ทิ้งพรรคไปร่วมงานกับพรรคอื่นหรือไม่ ก็ไปตั้งพรรคการเมืองเอง พากันกลับมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง เนื่องจากนักการเมืองระดับเฮฟวี่เวทเหล่านี้ มีแฟนคลับถาวรอยู่มาก สภากาแฟ จึงดึงประชาธิปัตย์กลับมาสู่สมการ การเมืองไทย
ในเวลาเดียวกันสภากาแฟก็มีเรื่องตลกใหม่ให้หัวเราะกันได้ทั้งวัน จากแคมเปญพรรคเพื่อไทยที่ว่า “ยกเครื่องพรรคเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทยใหม่”
ยกเครื่องประเทศไทย คือ การยอมรับว่า2 ปีการเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย หากเป็นรถยนต์ คือ เพื่อไทยให้เด็กหัดขับ เข้าเกียร์ผิดเข้าเกียร์ถูก และด้วยความอยากได้เงินทอนมากๆ คนขับรถเอาน้ำเปล่าปนน้ำมันเครื่อง ทำให้เครื่องยนต์พังต้องยกเครื่องใหม่ ด้วยความไร้เดียงสาไร้วุฒิภาวะไร้สติปัญญา ของผู้นำรัฐบาลเพื่อไทยคงยกเครื่องใหม่แก้ไขปัญหาประเทศไทยไม่ได้ มีแต่ทำให้ Chip ที่ใช้กับเครื่องยนต์ยุคใหม่หาย
นี่ไม่นับรวมผลงานชิ้นโบดำที่หลานอังเคิล ฮุนเซน สร้างความเสียหายต่อความมั่นคงและเกียรติภูมิของชาติไทย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ปล่อยให้เด็กฝึกงานบริหารต่อไปไม่ได้ มีมติให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีตลอดไป
ประกอบกับความนิยมทหารสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตแม่ทัพภาค 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ที่ น.ส.แพทองธารบอกอังเคิล ฮุนเซน ว่า “เป็นคนของฝ่ายตรงข้ามกับเรา..ฯ” ได้รับความนิยมศรัทธาสูงเป็นประวัติการณ์ แม่ทัพภาค 2 เป็นที่ชื่นชมคนไทยทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนชรา
อดีตแม่ทัพภาค 2 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก ทันทีที่เกษียณอายุราชการ ในเวลาเดียว ก็เป็น ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงแห่งชาติ และเป็น ที่ปรึกษาสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งท่านมีรายการบรรยายในสถาบันศึกษายาวไปถึงปีหน้า นักศึกษาและเยาวชนรุ่นใหม่เกิดความรักชาติชื่นชมทหารตามคำบรรยายของพลโทบุญสิน
ปรากฏการณ์ความนิยมทหารสูงขึ้นมากเท่าไหร่ ความเสื่อมทรามในความนิยมพรรคสีแดงกับพรรคสีส้มตกลงมากเท่านั้น พรรคเพื่อไทยตกต่ำลง เนื่องจากว่าตลอดเวลาสองปี ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน นโยบายเรือธง แจกเงินดิจิทัลถ้วนหน้าคนละหมื่นบาทก็ทำไม่ได้ แถมผันเงินงบประมาณใช้หนี้ธนาคาร 3.5 หมื่นล้านบาท ไปแจกกลุ่มเปราะบางก็ผิดกฎหมาย และถูกฟ้องดำเนินคดีที่ ป.ป.ช.ตั้งคณะสอบสวนอยู่ทุกวันนี้ หากปะเหมาะเคราะห์ร้ายอาจทำให้อดีตนายกฯ ต้องเข้าคุกตามบิดา
บิดาอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจบารมีเหนือพรรคเพื่อไทย ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งให้กลับเข้าคุก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ในขณะที่ค่ายสีน้ำเงินคู่แข่งทางการเมืองเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง
จึงพูดได้ว่าพรรคเพื่อไทยตกต่ำสุดๆ จะยกเครื่องจะรีแพร์อย่างไร ก็กลับมายิ่งใหญ่ไม่ได้ นักวิเคราะห์หลายรายมีความเห็นตรงกันว่าเลือกตั้งมีนาคมปีหน้า พรรคเพื่อไทย ได้ สส.เข้าสภาเกิน 80 คน ก็ถือว่า เป็นปาฏิหาริย์
ส่วนพรรคส้มที่หมกมุ่นอยู่กับนโยบายเปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายปฏิรูปสถาบันสูงสุดของชาติพรรคส้มมุ่งมั่นในนโยบายยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งเป็นกฎหมายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคส้มรณรงค์ปลุกระดมยกเลิกม.112 จนศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า เป็นพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดของชาติ ศาลฯตัดสินยุบพรรค ต้องเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่มาแล้วสองครั้ง พรรคส้มก็ยังยืนปฏิรูปสถาบันให้ได้
ล่าสุดพรรคส้มทำข้อตกลง(MOA) กับพรรคภูมิใจไทยยกมือให้นายอนุทินชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี 4 เดือน โดยมีเงื่อนไขรัฐบาล ต้องเปิดทางแก้รัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ในห้วงเวลาหกปี พรรคส้มหมกมุ่นกับเรื่องปฏิรูปสถาบันและด้อยค่าทหารตลอดมา อดีตหัวหน้าพรรคส้มถามในเวทีปราศรัยว่า “มีทหารไว้ทำไม หากเกิดสงคราม ผมไม่เชื่อว่าทหารไทยจะชนะชาติใด”
ความนิยมในพรรคเพื่อไทยกับพรรคส้มตกต่ำพอๆ กัน นั้นเป็นเหตุให้สภากาแฟยกระดับ ประชาธิปัตย์มาอยู่ในสมการทางการเมืองอีกครั้ง ด้วยหวังว่า การได้นายอภิสิทธิ์กลับมาจะเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาคืนมาอย่างมีนัย
แวดวงการเมืองไทยยังเชื่อมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยสุจริต ของประชาธิปัตย์หลายฝ่ายเชื่อว่าประชาธิปัตย์บริหารจัดการได้ดี ในยามที่บ้านเมืองวิกฤต ไม่ว่า ในฐานะฝ่ายค้าน หรือเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ
นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีในยามที่ประเทศชาติวิกฤต 2 ครั้งปี 2535 เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทั่วโลกวิกฤตศรัทธาการเมืองไทย นายชวน หลีกภัย เรียกศรัทธาคืนมาได้ในเวลาเพียง 3 ปี
ปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อ นายจอร์จ โซรอส สมคบกับคนไทยขายชาติโจมตีค่าเงินบาท กดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องจำใจลดค่าเงินบาทคนไทยที่รู้ข้อมูลภายในล่วงหน้าได้กำไรกว่า 5.พันล้านบาท ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศฉิบหายวอดวาย เศรษฐีบางรายฆ่าตัวตาย รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องกู้เงินกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มาพยุงเศรษฐกิจไทยก่อนลาออกไป สภาลงมติให้ นายชวน หลีกภัย กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่สอง และในเวลาเพียงสามปีรัฐบาล ประชาธิปัตย์ โดย นายชวน หลีกภัย ฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติได้
ปี 2552 เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐอเมริกา ในเวลาเดียวกัน คนเสื้อแดงสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้แผนมิยาซาวา แก้ปัญหาเศรษฐกิจ จนได้รับการยกย่อง เป็นรัฐมนตรีคลังโลก
ที่สำคัญในห้วงเวลาทำงานการเมืองแปดสิบปี ประชาธิปัตย์ มีนายกรัฐมนตรีสี่คนตั้งแต่ นายควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายชวน หลีกภัย และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีข้อครหาทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดของการเมืองไทย
และเมื่อใดก็ตามที่ ประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน รัฐบาลคอร์รัปชั่น หรือ รัฐบาลทำนอกกฎหมาย ที่ถูกประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลที่ถูก ประชาธิปัตย์อภิปราย ไม่ลาออกก็ยุบสภา
จึงพูดได้ว่า ประชาธิปัตย์ กลับเข้าสู่สมการทางการเมืองไทยอย่างมีนัย ประชาธิปัตย์ อาจไม่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต แต่ก็มีศักยภาพพอทำให้การเมืองไทยดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี