ปัจจุบันนี้ พี่น้องประชาชน ชาวไทยของเรามีความเห็นตรงกันว่า ประเทศชาติประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ และหลายสิ่งหลายอย่างอันเกิดจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้นึกถึงการทำงานในยุคของรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ที่มุ่งมั่นและไม่เคยยอมแพ้
ยุคโน่น น้ำมันมีไม่เพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศ พลเอกเปรมในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังต้องเดินทางไปเยือนต่างประเทศต้องออกไปเจรจาด้วยตัวเองจึงจะได้น้ำมันมาใช้ในประเทศ หลายต่อหลายครั้งที่รัฐบาลพลเอกเปรมได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย แทนที่พลเอกเปรมจะโกรธ หรือจะออกมาตอบโต้ กลับออกมาแสดงความคิดเห็นว่า
“ที่จริงในระบอบประชาธิปไตยเราต้องฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ก็มีการพูดจาโต้เถียงกันพอสมควร โดยส่วนตัวของผมเห็นว่าความเด็ดขาดรอบคอบต้องดูให้ดีว่าความเป็นมามีอย่างไร รัฐบาลต้องรอบคอบและทำในสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เรื่องนี้แม้รัฐบาลจะโดนว่าบ่อยก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องการแสดงความเห็นที่ผมไม่ติดใจและกลับดีใจที่มีการแสดงความคิดเห็นกัน”
เป็นที่รู้กันอยู่ว่าในส่วนของคนใกล้ชิดพลเอกเปรม ทุกสิ่งที่รัฐบาลได้รับการวิจารณ์ พลเอกเปรม จะนำสิ่งเหล่านั้นไปพิจารณาทบทวนแทบจะทุกเรื่อง ทำให้ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ปัญหาคลี่คลายได้แทบทุกเรื่องเลยทีเดียว
พลเอกเปรมได้กล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจในขณะนั้นว่า “คงทราบกันดีว่าสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ดีและรัฐบาลก็ยอมรับและพยายามทำทุกวิถีทางให้สถานภาพดีขึ้นให้ได้แม้ผมจะไม่ใช่นักวิชาการเพียงแต่มองว่าประเทศอยู่ในฐานะค่อนข้างจะต้องระวังในการใช้เงินทั้งภาครัฐและเอกชนเพราะเศรษฐกิจไม่ดี สภาพเช่นนี้อยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไร ถึงจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบเป็นการเสียเกียรติและหน้าที่อย่างมาก หากไม่คิดแก้ไข หรือแม้รัฐบาลจะกู้เงินไปเรื่อยๆ ก็ทำได้ แต่จะทำให้รัฐบาลอื่นๆ ต้องเดือดร้อน”
นี่ก็เป็นสถานการณ์ความเป็นจริงในยุคนั้น ที่รัฐบาลกล้าที่ออกมาพูดความจริงกับประชาชน กระนั้นก็ตามเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในยุคนั้นไม่ได้สิ้นหวัง และมองการระยะยาว
โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกอันเป็นอีกความหวังหนึ่งที่จะช่วยกู้ฐานะเศรษฐกิจชาติและมีการปรับปรุงแผน ให้สอดคล้อง สถานการณ์ทางการเงินของประเทศจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา
ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค อดีตผู้บริหารคนสำคัญของสภาพัฒน์ ในยุคนั้น บันทึกไว้ในหนังสือ “รัฐบุรุษชื่อเปรม” ย้ำว่าโครงการนี้จะต้องดำเนินการต่อไปที่เน้นหนักในระยะแรกคือท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดซึ่งเป็นโครงการยุทธศาสตร์ ที่ใช้ในการส่งสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศออกไปตลาดโลก ท่าเรือแหลมฉบังจะเป็นท่าเรือที่ใช้แทนท่าเรือคลองเตย ท่าเรือสัตหีบ จะใช้เป็นการชั่วคราวจนกว่าท่าเรือทั้งสองจะสำเร็จ
ในที่สุดโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดก็ได้เริ่มต้นขึ้นในรัฐบาลพลเอกเปรม ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในขณะนั้นดีขึ้นมาตามลำดับฐานะการเงินของประเทศดีขึ้นพี่น้องประชาชนจากทั่วประเทศได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปทำงานสร้างรายได้ให้ครอบครัวในโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกจากวันนั้นจวบจนบัดนี้
และหลายคนอาจจะไม่ทราบ จนถึงปัจจุบันนี้ โครงการพัฒนาชายฝั่งอุตสาหกรรมภาคตะวันออกดังกล่าว ตามแผน Master planยังจะต้องสร้าง ท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ซึ่งจะเป็นท่าเรือ ขนาดใหญ่ในระดับโลก การขยายท่าเรือนานาชาติแหลมฉบังก็ยังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องทำให้มีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของประเทศดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
ดร.เชียรช่วง กัลยาณมิตรผู้ทรงคุณวุฒิ ทางด้านอุตสาหกรรมศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ คลื่นข่าว FM 90.5 บอกไว้ว่าพลเอกเปรม ท่านเคยปรารภ อยากให้มีการสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2เพื่อสร้างความเจริญให้กับภาคใต้เหมือนกับโครงการ Eastern Seaboardซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาคใต้ตอนล่าง
ซึ่งต่อมา หลายฝ่าย ทั้งภาครัฐบาล และภาคเอกชนรวมทั้งพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น ก็มีความเห็นด้วยจึงได้เกิดโครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต โดยเป็นที่น่ายินดีว่ารัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติคณะรัฐมนตรี ในปี 2562 ให้ขับเคลื่อนโครงการอุตสาหกรรมที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา แล้ว แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การเดินหน้าโครงการดังกล่าวยังล่าช้าไม่ได้มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
ทั้งที่ในภาวะที่ประเทศของเราประสบกับภาวะเศรษฐกิจยุคโควิด เช่นนี้ยากที่จะหาเงินงบประมาณมากมายนับแสนแสนล้านมาเยียวยาประเทศชาติ เท่าที่ได้ติดตามรายละเอียดของโครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคตทันที่ที่โครงการนี้เริ่มต้นในการสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา 2 โรงงานผลิตไฟฟ้า และจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมก็จะมีเงินลงไปทันที 2-3 แสนล้านบาท มีการจ้างงานในปีแรกมากถึง 2-3 หมื่นอัตรา อัตราเงินเดือนเฉลี่ยที่ 30,000 บาทต่อคน นั่นหมายถึงแต่ละครอบครัวจะมีเงินใช้จ่ายถึง 30,000 บาทต่อครอบครัว
และโครงการนี้ตามแผนงานจะแล้วเสร็จภายใน 3 ปี ด้วยเงินลงทุน 9 แสนล้านบาท มีการจ้างเต็มโครงการมาถึง 3 แสนอัตรา เชื่อด้วยประสบการณ์ของประเทศไทยที่เคยสร้างเศรษฐกิจให้มั่นคงด้วยโครงการ Eastern Seaboard และเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าหากประเทศไทย เกิดโครงการ จะนะเมืองต้นแบบ อย่างเต็มรูปแบบ อุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต เศรษฐกิจของภาคใต้ และของประเทศ จะมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนอย่างแน่นอน
รีบขับเคลื่อนให้สำเร็จโดยเร็วนะครับนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี