สัปดาห์ที่ผ่านมา มีคดีที่ศาลปกครองอ่านคำพิพากษา โดยเป็นคดีดัง ที่เกี่ยวกับคนดัง เป็นบุคคลสาธารณะ
ในแวดวงการบ้านการเมือง
22 กรกฎาคม 2564 ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่ พล.ต.อ.วิระชัย หรือพล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ฟ้องขอให้ผบ.ตร. และ ก.ตร. แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ในวาระการแต่งตั้ง ปี พ.ศ. 2551 และคืนสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย
23 กรกฎาคม 2564 ศาลปกครองกลาง นัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่า ที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย
คดีเหล่านี้ เวลาเป็นข่าวใหญ่โตตอนแรก ผู้คนก็จะสนใจกันมาก (บางส่วนก็เชียร์ที่ตัวบุคคล) แต่พอมีคำตัดสิน น่าเสียดาย บางส่วนกลับไม่ได้รับรู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร
ทั้งสองคดี เป็นคำพิพากษาระดับศาลปกครองสูงสุด ทั้งคู่
เกี่ยวข้องกับนายตำรวจใหญ่โตทั้งคู่
ขอรายงานข่าวให้ทราบ ดังนี้
1. คดีพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นผู้ฟ้อง
เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2564 ในแฟนเพจ “สำนักงานศาลปกครอง” ได้เผยแพร่สรุปข่าว พร้อมลิงก์รายละเอียดคำพิพากษา ระบุสาระสำคัญ ดังนี้
“คดีพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ยกฟ้อง ในคดีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่า ที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย
เนื่องจากศาลฯ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีที่มีที่ดินบางส่วนที่อยู่นอกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นที่งอกริมตลิ่งนั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า กระแสน้ำในแม่น้ำแควน้อยมีความรุนแรงและเชี่ยวกราก กัดเซาะที่ดินริมตลิ่งในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีในการขออนุญาตทิ้งหินกันน้ำเซาะ ย่อมไม่อาจเป็นไปได้เลยว่าจะเกิดที่งอกริมตลิ่งออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่เป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีได้ว่าจ้างให้ถมดินลงไปในแม่น้ำแควน้อยพื้นที่ประมาณ 1,500 ตารางเมตร แล้วผู้ฟ้องคดีได้ทำประโยชน์ในที่ดินส่วนนี้โดยการปลูกต้นไม้ จัดพื้นที่เป็นสวนหย่อมและทำทางเท้า ซึ่งปูด้วยหินแผ่นไปตามแม่น้ำแควน้อย
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนการอนุญาตของเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 สาขากาญจนบุรี โดยมีการทิ้งหิน ดิน เกินกว่าแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ลงในแม่น้ำแควน้อยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 จึงเป็นการทิ้งหินถมดินลงในแม่น้ำแควน้อยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่าฯ
และเมื่อผู้ฟ้องคดีได้ปลูกต้นไม้ทำเป็นสวนหย่อม และทำทางเท้าซึ่งปูด้วยแผ่นหิน การกระทำดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการปลูกสร้างสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปในน้ำ หาได้มีลักษณะเป็นการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามที่ได้รับอนุญาตให้ทิ้งหินกันน้ำเซาะลงในแม่น้ำแต่อย่างใด
จึงถือว่าเป็นการกระทำสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปในแม่น้ำแควน้อยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ตามมาตรา 117 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 สาขากาญจนบุรี ผู้รับมอบอำนาจจากอธิบดีกรมเจ้าท่า จึงมีอำนาจตามมาตรา 118 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน โดยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งล่วงล้ำในแม่น้ำแควน้อยได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น การที่เจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 สาขากาญจนบุรี มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการรื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อยออกให้พ้นเสียจากแม่น้ำภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของปลัดกระทรวงคมนาคมที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ประเด็นอื่นของผู้ฟ้องคดีอีก เนื่องจากไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป”
ในแฟนเพจสำนักงานศาลปกครอง ยังได้แนบลิงก์ “รายละเอียดคำวินิจฉัยโปรดอ่านจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่แนบมาพร้อมนี้ https://bit.ly/3zuVCht สอบถามเพิ่มเติม โทร. สายด่วนศาลปกครอง 1355 (ในวันและเวลาราชการ)”
ตามลิงก์ข้างต้น ท่านที่สนใจยังสามารถคลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดของคำพิพากษา ซึ่งจะได้
ทราบเนื้อความโดยละเอียด ถึงพฤติการณ์และการต่อสู้คดี อันเป็นที่มาของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว
2. คดีพลตำรวจเอก พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา เป็นผู้ฟ้อง
ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ในสมัยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เเละคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่าร่วมกันออกกฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตรถึงจเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ที่กำหนดให้ผู้ที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการจะต้องดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และข้อ 11 วรรคสอง ยังกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมว่าเฉพาะรองผู้บัญชาการที่เคยได้รับการเลื่อนตำแหน่งในตำแหน่งควบปรับระดับเพิ่ม-ลดได้ในตัวเองมาก่อนจะต้องมีอายุราชการรวมไม่น้อยกว่า 28 ปีด้วย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองสูงสุด ให้เหตุผลว่า จากข้อเท็จจริงในคดีนี้ แม้ว่าข้อ 11 วรรคสองของกฎ ก.ตร.ดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่ทำให้ พล.ต.อ.วิระชัย ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการในการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจประจำปี 2551 ได้ถูกเพิกถอนตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดงที่ อ.477/2556 ในภายหลังก็ตาม แต่คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวได้กำหนดคำบังคับให้การเพิกถอนมีผลไปในอนาคตตั้งแต่วันที่มีการประกาศผลแห่งคำพิพากษาในราชกิจจาฯ เป็นต้นไป ดังนั้นในช่วงเวลาระหว่างการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจประจำปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการประกาศเพิกถอนกฎ ก.ตร. ดังกล่าว ย่อมต้องถือได้ว่ากฎ ก.ตร.
ดังกล่าวยังมีผลใช้บังคับอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย
มติของ ก.ตร.ในปีที่ออกตามกฎ ก.ตร. ดังกล่าวในช่วงเวลานั้น จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อข้อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้มีผลย้อนหลัง จึงไม่ใช่กรณีที่ข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อ พล.ต.อ.วิระชัย
ดังนั้น มติของ ก.ตร.ที่ปฏิเสธไม่แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.วิระชัย เป็นผู้บัญชาการโดยให้มีผลย้อนหลังตามคำขอของ พล.ต.อ.วิระชัย จึงเป็นมติหรือคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย และ ผบ.ตร.ไม่มีหน้าที่จะต้องออกคำสั่งใหม่และคืนสิทธิประโยชน์ใดๆ ให้แก่ พล.ต.อ.วิระชัย
การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
3. กรณีเป็นข้อมูลเพื่อให้สาธารณชนได้ติดตามข่าวไปจนถึงขั้นตอนที่ศาลมีคำพิพากษาสูงสุด ว่าสุดท้าย เรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร?
เหมือนที่ผู้เกี่ยวข้องออกข่าวตอนเป็นเรื่องเป็นราวร้อนๆ หรือไม่?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี