เห็นโลกออนไลน์ปั่นข่าววัคซีนไฟเซอร์ไม่หยุดหย่อน
ปัจจุบัน รัฐบาลเซ็นซื้อ 20 ล้านโดสไปแล้ว (มาปลายปี)
หมอบุญคุยโม้ข่มรัฐบาลจนแกล้งลืมกันไปแล้ว ว่าจะซื้อมาภายในเดือน ก.ค.
พอได้วัคซีนไฟเซอร์ลอตบริจาค ก็ปรากฏว่ามีการปั่นว่า หมอฝ่ายค้านไปยื่นหนังสือขอที่สถานทูต คือตีกินกะเอาเครดิตแบบหน้าด้านๆ
“ไมเคิล ฮีธ” รักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ผมขอเน้นย้ำว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงแบบรัฐต่อรัฐ ไม่มีคนกลางในการเจรจา ทำเนียบขาว กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และสถานทูตฯ ทำงานโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุขไทย ในการบริจาควัคซีนครั้งนี้ เรากำลังทำงานอย่างหนัก...”
บางส่วน ก็อวดฉลาดปั่นกันอีกว่า เอาวัคซีนไฟเซอร์มาผสมน้ำเกลือเพื่ออะไร คือไม่ได้มีความรู้เลย
ล่าสุด มาบิดเบือนโจมตีว่า ตั้งเงื่อนไขจุกจิกที่จะฉีดไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ เพราะจะเก็บไฟเซอร์ไว้ให้ใคร ปั่นกระแสสาดโคลนไปต่อเรื่อยๆ
1.บุคลากรแพทย์ด่านหน้า ที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็มแล้ว (คือมากกว่า 90% ของบุคลากรแพทย์ด่านหน้าทั้งหมด) จะได้ฉีดไฟเซอร์แน่นอน (เว้นแต่เจ้าตัวปฏิเสธเอง)
2.แต่มีความพยายามไปจับเอาเงื่อนไขรายละเอียด ซึ่งทีมแพทย์เป็นคนกำหนด ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง หาว่าเพื่อกีดกัน จะได้มีไฟเซอร์เหลือไปให้ใครบางคน
เงื่อนไขข้อจำกัด ที่ยังไม่ให้ คือ อะไร?
บางคนได้ฉีดเข็ม 3 เป็นแอสตราฯ ไปแล้ว ถ้าให้ไฟเซอร์อีกก็เป็นเข็ม 4
บางคน ยังไม่ได้ฉีดสักเข็ม (จะต้องพิจารณาเป็นกรณี เพราะบางคนแพ้วัคซีน)
บางคน ฉีดแอสตราฯเข็มแรก จะฉีดเข็ม 2 เดือนนี้อยู่แล้ว ก็ฉีดแอสตราตามสูตรปกติ ส่วนจะเข็มสามไฟเซอร์ก็รอลอตหน้า (ประมาณ 5-6 หมื่นคน)
บางคน เข็มแรกซิโนแวค เข็มสองแอสตร้าถ้าเข็มสามเป็นไฟเซอร์ ก็เท่ากับ 3 ชนิดเลย จะปลอดภัยหรือไม่ นี่คือปัจจัยสำคัญมาก
เงื่อนไขเหล่านี้ มีคณะทำงานที่เป็นแพทย์ เป็นผู้กำหนด ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง ถ้าหากจะเปลี่ยนแปลงก็ย่อมทำได้ โดยทีมแพทย์ มิใช่เอาเงื่อนไขการเมืองประเภทต้องการคะแนนนิยมเข้าไปกดดัน
3. เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2564 นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะประธานคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กรณีวัคซีนโควิดไฟเซอร์ (Pfizer) เปิดเผยถึงการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ว่า
จากฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข มีการจัดสรรให้กับบุคลากรด่านหน้าเพื่อฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 จำนวน 7 แสนโดส กรณีที่มีบุคลากรทางการแพทย์ได้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นเข็มที่ 3 ไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น ตัวเลขจะอยู่ที่กรมควบคุมโรค ที่ได้มีการทำแบบสำรวจไปที่รพ.แต่ละแห่ง ซึ่งผลสรุปออกมายังไม่ทันในการประชุมพิจารณาจัดสรร ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้อนุมัติในหลักการให้เข็ม 3 บุคลากรด่านหน้าไปจำนวนรวม 7 แสนโดส
ทั้งนี้ เมื่อได้ยอดเข้ามาชัดเจนแล้วส่วนต่างที่เหลือจากกรณีที่บุคลากรฉีดแอสตราฯ เป็นเข็มที่ 3 ไปแล้วจะจัดสรรให้กับกลุ่มใดต่อไปนั้น จากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) กรณีโรคโควิด-19 ที่มีนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (31 ก.ค.) ที่ประชุมเห็นว่า ยังมีกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการดูแลคนไข้ที่ติดโควิดได้ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ที่ถึงแม้ไม่ได้อยู่ด่านหน้าโดยตรง แต่ก็ยังมีความเสี่ยง ก็จะมีการพิจารณาตรงนี้เพิ่มเติม
ทั้งนี้ เราเสนอ ศบค.ไปว่าเข็ม 3 สำหรับบุคลากรการแพทย์ด่านหน้า ศบค.ก็รับทราบแบบนั้น ก็ต้องจัดตามแบบนี้ก่อน ส่วนรอบถัดไปก็ต้องมีการผ่อนคลาย เพราะว่าคนของเราที่มีความเสี่ยงอีกเยอะ
นพ.สุระกล่าวว่า ส่วนกรณีบุคลากรที่ไม่ได้รับวัคซีนใดๆ เลยนั้น อาจเพราะไม่สามารถฉีดได้ทั้งซิโนแวค หรือแอสตราฯ เนื่องจากอาจมีอาการข้างเคียง หรือปัจจัยอื่นๆ ตรงนี้จะมีการพิจารณาเป็นกรณี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสำรวจตัวเลขว่า มีจำนวนเท่าไหร่ แต่โดยหลักขอเน้นฉีดให้บุคลากรด่านหน้าสำหรับบูสเตอร์โดสก่อน เพราะมีข้อมูลวิชาการรองรับ
นพ.สุระ กล่าวว่า การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส เป็นไปตามหลักเกณฑ์อยู่แล้ว ส่วนต่างที่เหลือจากกรณีที่บุคลากรฉีดบูสเตอร์ด้วยแอสตราฯ แล้วจะต้องมีการพิจารณาว่าจะเกลี่ยไปลงตรงจุดไหน กลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ในลอตนี้ยังขาดอยู่ก็จะเกลี่ยไปให้ เช่น กลุ่มนักเรียนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จะเป็นผู้รวบรวมมา ถ้ามีตัวเลขเกินกว่า 1.5 แสนโดส ที่เราจัดสรรให้ก็เกลี่ยมาให้ตรงจุดนี้เพิ่ม หรือถ้าในยอด 1.5 แสนโดส ที่จัดให้กับทางกต. เหลือ ก็อาจจะนำมารวมเป็นกองกลาง แล้วกระจายไปยัง 13 จังหวัดเป้าหมายที่กำหนด เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยง ที่ยังมีตัวเลขของกลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สูงอายุผู้มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ ที่เราต้องเข้าไปฉีดเพื่อลดอัตราการป่วยเสียชีวิต
คณะทำงานฯ มีมติเรื่องเกณฑ์การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย
(1) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด19 ทั่วประเทศที่เข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ คือ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานแผนกผู้ป่วยโควิด-19 ได้แก่ แผนกผู้ป่วยนอก คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยวิกฤติ รพ.สนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในฮอสพิเทล หรือปฏิบัติงานข้องเกี่ยวกับภารกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 และมีชื่อปรากฏในฐานข้อมูลระบบกระทรวงสาธารณสุข(MOPH IC) ว่าได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้ว อย่างน้อย 4 สัปดาห์ ระบุว่าเป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และยังไม่ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นเข็มกระตุ้น ในส่วนนี้ครอบคลุมมากกว่า 90% ของบุคลากรด่านหน้า
ส่วนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ในลอตนี้ ได้แก่ ได้รับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาครบ 2 เข็ม ได้รับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา เข็มกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 แล้ว ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวค 1 เข็ม และแอสตราเซเนกา 1 เข็ม ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคหรือแอสตราเซเนกามาเพียง 1 เข็ม และได้รับการฉีดวัคซีนอื่นๆ
(2) เกณฑ์การจัดสรรวัคซีนในแต่ละจังหวัดสำหรับกลุ่มเสี่ยงใน 13 จังหวัด โดยจะพิจารณาจากปัจจัย ดังนี้ จำนวนผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน มีเป้าหมายการฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุให้มีความครอบคลุม คือ กรุงเทพฯ เป้าหมาย 80% จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดอื่นๆ 12 จังหวัดเป้าหมายประมาณ 70 % ซึ่งวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรสามารถฉีดให้ได้ตามกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
กลุ่มโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ยอดรวมจำนวน 641,760 โดส จำนวนจัดสรรเบื้องต้น 1.กรุงเทพฯ 68,640 โดส 2.นนทบุรี 75,360 โดส 3.สมุทรปราการ 51,360 โดส 4.สมุทรสาคร 21,600 โดส 5.ปทุมธานี 37,920 โดส 6.นครปฐม 62,880 โดส 7.พระนครศรีอยุธยา 63,840 โดส 8.ชลบุรี 74,400 โดส 9.ฉะเชิงเทรา 42,720 โดส 10.ปัตตานี 29,760 โดส
11.นราธิวาส 31,200 โดส 12.ยะลา 19,200 โดส 13.สงขลา 62,880 โดส
(3) เกณฑ์การจัดสรรสำหรับชาวต่างชาติ เป็นชาวต่างชาติผู้มีถิ่นพำนักในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ และผู้เดินทางไปต่างประเทศที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ขั้นตอนลงทะเบียน ลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงการต่างประเทศ www.expatvac.consular.go.th เริ่มตั้งแต่ 1 ส.ค. 2564
4. สุดท้าย สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ว่า บริษัทไฟเซอร์ คาดการณ์รายได้เฉพาะจากการจำหน่ายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบฉีดสองโดส ที่พัฒนาร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี จะอยู่ที่ 33,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(ราว 1.1 ล้านล้านบาท)
สำหรับวัคซีนที่ไฟเซอร์มีกำหนดส่งมอบตลอดทั้งปีนี้ จำนวน 2,100 ล้านโดส ให้แก่นานาประเทศที่ทำสัญญาร่วมกัน อนึ่ง การคาดการณ์รายได้ดังกล่าวยังไม่รวมข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลวอชิงตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสั่งซื้อวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค เพิ่มอีก 200 ล้านโดส เผื่อสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี หากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา (เอฟดีเอ) และในกรณีที่การฉีด “เข็มที่สาม” หรือ “บูสเตอร์” มีความจำเป็น
แม้เอฟดีเอและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า บูสเตอร์ สำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคโควิด-19 “ยังไม่มีความจำเป็น” แต่นายอัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของไฟเซอร์ กล่าวว่า บริษัท “ค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้”
สรุป ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนยี่ห้อใด เมื่อเจอกับเชื้อกลายพันธุ์ประสิทธิผลลดลงหมด (ทั้งไฟเซอร์โมเดอร์นา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซิโนแวคซิโนฟาร์ม แอสตราฯ ฯลฯ)
แต่ทั้งหมด ยังช่วยลดโอกาสป่วยหนัก และโอกาสเสียชีวิตได้
เพราะฉะนั้น ฉีดแล้ว ยังต้องระมัดระวัง
และไม่ควรด้อยค่า โจมตีวัคซีนยี่ห้อใดๆ ที่ทางการนำมาฉีดให้ประชาชน มียี่ห้อไหนเข้ามาควรสนับสนุนให้ไปฉีดเร็วที่สุด เพื่อลดการป่วยหนัก การต้องเข้าโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี