นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้าพรรคแนวทางใหม่ กล่าวว่า การเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ขณะนี้หน้าฉากโชว์กอดรักกันไป แต่หลังฉากคงใส่กันยับ เพราะการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ปลดรัฐมนตรีช่วยฯ ธรรมนัส ที่พี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร ขอไว้ด้วยการจะโชว์บารมีเปิดบ้านป่ารอยต่อเคลียร์ด้วยตัวเองแล้ว แต่เมื่อหักหน้าบอกจบแต่ไม่จบแบบนี้ก็คือการไม่ไว้หน้า ด้อยค่าบารมี เบอร์ 1 แห่งบูรพาพยัคฆ์ เกียรติศักดิ์ศรีนายทหารค้ำคอ ลึกๆในใจคงยอมกันยากแล้ว
“สัมพันธ์ 3 พี่น้องไม่เหมือนเดิมแน่นอน ป.ประยุทธ์ หวงเก้าอี้จนยอมหักแม้กระทั่ง ประวิตร ที่อุ้มชูกันมา คิดว่านับถอยหลังเลือกตั้งคงมาเร็วๆนี้ เพราะเขาคุมนักการเมืองเองไม่ได้หรอก แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะส่งโฆษกมาพูดแบบปากกล้าขาสั่นว่าอยู่ครบเทอมไม่ยุบสภาแน่ แต่เอาเข้าจริงต้องถามก่อนว่า ที่ผ่านมาใครดูแล สส.ในพลังประชารัฐ แถมประวิตร ยังส่งสัญญาณให้ ธรรมนัส นั่งเป็นเลขาฯ เหมือนเป็นหอกคอยแทงอยู่อย่างนั้น เหมือนบอกประยุทธ์แล้วว่าจะยึดพรรคฝันไปก่อน ยิ่งหน้าตาไม่เคยโผล่ไปให้เขาเห็นมือไม่เคยยื่นให้เขาจับ หยิ่งผยองทำลอยตัวเหมือนเหนือนักการเมืองแบบนี้จะมีใครเอาด้วย” นายธวเดช กล่าว
นายธวเดช กล่าวว่า นายตอนนี้ใกล้ปิดสภาคงไม่เห็นลูกพยศมาก แต่นักการเมืองแต่ละคนเขี้ยวลากดินทั้งนั้นเขารอได้ ถ้ามีกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลต้องขอเปิดสภาพิเศษเมื่อไหร่ เจอสึนามิเข้าแน่ กล้วยเอย ตำแหน่งเอย ถ้าขอแล้วไม่ให้ มือไม่ยก ไม่มีป้อมไม่มีแป้งช่วย คราวนี้เมื่อร่างกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลเสนอไม่ผ่านสภา ถึงตอนนั้นรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ต้องลาออกหรือยุบสภาเท่านั้น นี่คือผลของความหยิ่งผยอง โอหังคลั่งอำนาจกระทั่งกับพวกเดียวกันก็ไม่เหลือมิตรแล้ว
ขณะเดียวกัน “แนวหน้าออนไลน์” รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบเต็มคณะครั้งที่ 2ที่ตึกสันติไมตรีหลังนอก โดยเป็นครั้งแรกที่มีการประชุมครั้งแรกหลังปลด 2 รัฐมนตรีออกจากตำแหน่งคือ ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรมช.แรงงาน ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลุ่ม 4 ช. มักไปเข้าพบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ตึกบัญชาการ แต่วันเดียวกันนี้ มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และกรรมการบริหารพรรคนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และรองหัวหน้าพรรคและนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม นายธนกร วังบุญคงชนะโฆษกประจำสำนักนายกฯ และนายเสกสกล อัตถาวงศ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นไปหารือกับใช้เวลาประมาณ 30 นาที
โดยพล.อ.ประวิตร ได้กล่าวกับคนที่เข้าพบว่า “ขอให้ทำงานช่วยนายกฯต่อไป” โดยผู้เข้าพบกล่าวตอบไปว่า “ถ้ามีอะไรให้ท่านสั่งได้เลย ทุกคนพร้อมช่วยทำงาน”
ส่วนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรมในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับโครงสร้างพรรคว่า ตนฟังจากผู้บริหารยังไม่มีการคุยในเรื่องนี้ จึงยังไม่มีการปรับใดๆ ทั้งสิ้น คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะจึงจะพูดคุยกัน แต่ที่คุยกันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับประชาชน เช่น ฝนตก น้ำท่วม หรือเรื่องความยากจนที่เราจะกำหนดนโยบายเดินหน้าให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขได้อย่างไร เราคุยกันในลักษณะนี้มากกว่า
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีระยะห่างระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสส.จะมีทำให้มีการใกล้ชิดมากขึ้นอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สส.เรียกร้องมาอย่างนั้น แต่เรื่องนี้ไม่สามารถไปบอกหรือกดดันอะไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละท่านที่เรียกร้องให้นายกฯ เข้ามาดูแลในพรรค แต่ไม่สามารถไปกดดันอะไรท่านได้ แต่ถ้าท่านมาก็ดี ทั้งนี้ยังไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคและคงยัง
เหมือนเดิมอยู่
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวชื่อ นายสมศักดิ์ นั่งเลขาธิการพรรค นายสมศักดิ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ และเท่าที่ฟังยังไม่มีการปรับโครงสร้างพรรคตอนนี้ยังไม่มีปรับอะไรตามที่เป็นข่าว อย่าไปคิดอะไรเลยเถิด ขอให้คิดถึงประชาชนเป็นหลักที่จะทำให้เขามีรายได้มีความสุขเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเรื่องพรรคเป็นเรื่องรองลงไปและสามารถตกผลึกได้ในระยะเวลาที่เหลืออยู่
เมื่อถามว่า จะกลับไปใช้ที่ทำการพรรค ถนนรัชดาภิเษกเมื่อไหร่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ต้องกลับไปแน่ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ และขณะนี้สภาใกล้ปิดสมัยประชุมแล้วคงไม่ต้องรีบร้อนอะไรนัก
เมื่อถามว่า ในฐานะแกนนำจะทำอย่างไรให้พรรคไม่มีภาพของความแตกแยก นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องความระหองระแหงเป็นเรื่องของการนำเสนอ นโยบายที่พรรคต้องนำเสนอ เพื่อเอาไปดำเนินการให้เป็นประโยชน์กับประชาชน จึงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันระหว่างสส.กับผู้บริหารพรรคที่ต้องพูดคุยกัน เพื่อทำให้รู้สึกว่าเราไม่ห่างไกลกับประชาชน
เมื่อถามว่า เป็นการรองรับการเลือกตั้งครั้งหน้าใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าเราจะไปเตรียมตอนที่หมดเวลาไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้มีเวลาอีก 1 ปีครึ่ง ถ้าเราทำอะไรที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนประชาชนจะมองเห็น แต่การที่รัฐบาลจะขับเคลื่อน พรรคต้องเป็นผู้คิดและสนับสนุนให้แนวทางใหม่ๆ เกิดขึ้น
เมื่อถามว่า จะยังเชื่อมั่นหรือไม่ว่าพรรค พปชร.จะยังเป็นพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็ต้องเชื่อสิ เราถึงต้องคิดถึงนโยบายว่าจะทำอะไร เพราะถ้าผ่านเรื่องโควิด-19 ไปแล้ว ก็ต้องเร่งรัดให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นมีเงินใช้หนี้ มีเงินใช้จ่ายตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อถามว่า จะการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แทนตำแหน่งที่ว่างหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า อำนาจการปรับครม.เป็นของนายกรัฐมนตรี พวกเราคงไปพูดอะไรไม่ได้และก็ไม่ควรพูดในขณะนี้ ซึ่งยังมีเวลาอีกมากมายในการคิดจะปรับเก้าอี้
สิ่งที่น่าสนใจเมื่อนำข่าวข้างต้นมาร้อยเรียงกันก็คือ
1) เป็นไปได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบิ๊กตู่กับบิ๊กป้อม อยู่ระหว่าง “การใช้เวลา” เพราะหากมีการเห็นพ้องต้องกันในการ “กำจัด” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากทุกบทบาทสำคัญ ในไม่ช้ากระบวนการเลือกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่คงเกิดตามมา และแน่นอน ต้องไม่มีเก้าอี้สำคัญรองก้น ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งอีกไม่ช้าไม่นาน คงจะได้กระจ่างกันในเรื่องนี้
2) หากจะขจัดเก้าอี้ของ ร.อ.ธรรมนัสในพรรคพลังประชารัฐ ง่ายนิดเดียว คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่ง พล.อ.ประวิตร (ยัง) ไม่ทำอาจเป็นช่วงเวลา “ปรับความเข้าใจ/หาทางไปต่อ/ประคองสถานการณ์ หรืออาจเป็นช่วง/อบรมบ่มนิสัย/ต่อรอง ก็เป็นได้ทั้งสิ้น
3) เช่นกันกับที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ไม่ลาออกจากเก้าอี้เลขาฯพรรคด้วยตัวเอง เหมือนเป็นการ “วัดใจ”พล.อ.ประวิตร ว่าจะเอายังไงกับตน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส พูดอยู่เสมอว่า ตนเคารพรัก พล.อ.ประวิตร และ “คุยกับ พล.อ.ประวิตร” เท่านั้น
4) ชวนคิดว่า หากมีปฏิบัติการ “โค่น พล.อ.ประยุทธ์”จริงๆ ถึงขั้นลงมือแล้ว ปฏิบัติการนี้ “ข้ามหัว พล.อ.ประวิตร”ไปได้ยังไง หรือที่จริง พล.อ.ประวิตรก็รู้ด้วย?
5) คนอื่นๆ ในพรรคก็ล้วนสงบนิ่ง ดูทิศทางลมของกลุ่มอำนาจ 3 ป. ว่าจะไปทางไหน ยิ่งมีเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยที่เคยมีว่างลง 2 เก้าอี้ “การทำตัวดีๆ” ในช่วงนี้ ก็นับว่าสำคัญ จะต่อรองอะไรก็ต้องทำแบบเนียนๆ หาจังหวะดีๆ เพราะเป็นช่วง “อารมณ์บูด” ของผู้มีอำนาจ ดีที่สุดคือ รอให้เขาเอ่ยปาก เปิดช่อง แล้วค่อยเสียบคนของตัวเองเข้าไปเป็นตัวเลือก
6) จะอย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทำตามสิ่งที่ ร.อ.ธรรมนัส พูดไว้ก่อนหน้านั้นอย่างชัดเจนในทันที เช่น การขยับเข้ามาใกล้ชิดกับพรรคมากขึ้น การลงพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนเพื่อสร้างความนิยม นี่คือความเปลี่ยนแปลง ที่ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะทำอย่างไรกับ ร.อ.ธรรมนัส แต่พฤติกรรมนี้เท่ากับท่านยอมรับว่า สิ่งที่ ร.อ.ธรรมนัสวิจารณ์และเสนอต่อท่าน เป็นเรื่องจริงที่ท่านเคยละเลย
7) ที่น่าสนใจในระยะไกลก็คือ บิ๊กตู่จะลงมานำทัพสู้ศึกเลือกตั้งด้วยตัวเองหรือไม่ เช่น มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะเอาบิ๊กป้อมไปอยู่ในตำแหน่งไหน เพราะก่อนหน้านี้ ก็ลดการควบเก้าอี้รัฐมนตรีของบิ๊กป้อม ให้เหลือแค่เก้าอี้รองนายกฯ และส่งมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่แล้วการปลด ร.อ.ธรรมนัส จากเก้าอี้ รมต. โดยไม่บอกกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นการ “ตบหัว” เบาๆ ที่แม้จะโตๆ กันแล้ว ปรับตัวไปต่อด้วยกันได้ แต่ความหมางใจก็ย่อมต้องมี หากมายึดเก้าอี้ในพรรคอีก แม้จะช่วยให้ พล.อ.ประวิตร งานเบาลง แต่ศักดิ์ศรีที่จะอยู่ในเก้าอี้ที่เหมาะสมในฐานะ “พี่ใหญ่” คืออะไร “ประธานที่ปรึกษาพรรค” กระนั้นหรือ
8) แต่โดยจริต พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ลงมาพัวพันกับ “นักการเมือง” ง่ายๆ ท่านชอบ “เจ้าสัว” มากกว่า ไม่จำเป็นจริงๆ ท่านคงไม่ลงมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองแน่ๆ แต่ระหว่างท่านกับพรรคพลังประชารัฐจะ “ไปต่อ” กันอย่างไร ในวันข้างหน้า จะคง ร.อ.ธรรมนัส ไว้ ในฐานะเลขาพรรค เพื่อ “รบในสนามเลือกตั้ง” เพื่อให้คนที่ “ปลดตัวเองอย่างไม่ไว้หน้า” ได้เป็นนายกฯ อย่างนั้นหรือ
9) พฤติกรรมใช้แล้วทิ้ง ที่เกิดกับกลุ่ม “สี่กุมาร” และไม่พอใจตบสั่งสอนทางการเมือง ที่เกิดกับ ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ คงทำให้นักการเมืองรอบจัดในพรรคพลังประชารัฐ “ระวังตัว” มากขึ้น และเป็นไปได้ว่า จะอยู่แล้ว “ต่อรอง” หาจุดลงตัวกันไปเป็นครั้งคราว แบบที่นายธวเดชวิเคราะห์ หรือไม่ก็วางเฉย ให้เขามา “ขอร้อง/ขอความช่วยเหลือ” แล้วค่อย “เรียกเอาสิ่งที่กลุ่มตนต้องการ” ก็ทำได้ทั้งนั้น เพราะบัดนี้ชัดเจนแล้วว่าในทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ “ขาลอย” สุดๆ ยิ่งในอนาคต ยิ่ง “ลอยเคว้งคว้าง” อย่างเห็นได้ชัด
น่าติดตามว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับคณะ 3 ป. จะแก้ปัญหา “อนาคตที่คว้างคว้าง” และสุ่มเสี่ยงต่อการ “ถูกเช็คบิล”จากฝ่ายการเมืองอย่างไร จะอาศัยบารมีตน ยังมีพอต่อไปหรือเปล่า หรือจะต้องอิงแอบบารมีที่สูงกว่า และ “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์” กับนักการเมืองให้มากขึ้น
จะอยู่กับแบบ “นาย” กับ “เมียทาส” แบบนี้ต่อไปท่าทางจะไม่รุ่งแล้วล่ะ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี