ขณะนี้ประเทศไทยกำลังค่อยๆ เปลี่ยนผ่านสู่การ“อยู่ร่วมกับโควิด-19” โดยจะทยอยให้กิจการต่างๆ กลับมาเปิดได้ภายใต้มาตรการป้องกันทั้งระดับส่วนบุคคลและระดับองค์กร เพื่อให้กลไกทางเศรษฐกิจกลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง ซึ่งสัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอสรุปข้อห่วงใยในจดหมายเปิดผนึกจาก เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ สะท้อนปัญหาและทางออกในภาค “โรงงานอุตสาหกรรม” ในโครงการนำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) มานำเสนอ ดังนี้
1.อาจมีแรงงานตกหล่นไม่ได้รับการคุ้มครอง การบริหารจัดการแรงงานมุ่งเน้นคนทำงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งอาจทำให้แรงงานบางรายที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมกลายเป็นผู้ตกหล่นในโครงการแม้จะอยู่ในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 2.ความเสี่ยงจากสถานที่พักของแรงงาน แม้จะมีการกำหนดแนวทางจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ยังพบว่าแรงงานยังต้องอยู่ในสภาพที่แออัด อาหารและน้ำดื่มที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งสมาชิกในครอบครัว ถ้าพ่อแม่ต้องเข้าร่วมในโครงการ เด็กผู้ติดตามจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและไร้คนดูแล เป็นต้น
3.แรงงานอาจถูกสั่งให้พักงานชั่วคราวได้ หากพบว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อเพื่อสังเกตอาการ โดยยังไม่มีแนวทางชัดเจนเรื่อง ค่าจ้างค่าแรงของแรงงานว่าจะได้รับการคุ้มครองหรือไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติแรงงานมักถูกให้ใช้วันหยุด วันลาพักร้อนในการกักตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิของลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานว่าด้วยสิทธิในการได้รับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ในยามปกติ
4.กระบวนการที่แรงงานทุกคนจะต้องทำการตรวจคัดกรองหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR เพื่อแยกผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาทันที อีกทั้งให้มีการตรวจโดยชุดตรวจแอนติเจนด้วยตนเอง (Antigen Self-Testing Kit : Self ATK) ทุกสัปดาห์ มีข้อสังเกตถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ระบุไว้ว่าภาคส่วนใดจะเป็นผู้รับผิดชอบซึ่งหากใช้ข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า พื้นที่เป้าหมายระยะแรก มีสถานประกอบการ 387 แห่ง ลูกจ้าง 474,109 คน
ด้วยจำนวนแรงงานดังกล่าว หากต้องตรวจ RT-PCR ในครั้งแรกต้องใช้งบประมาณในการตรวจอย่างน้อย1 พันล้านบาท (คิดที่อัตราค่าตรวจ 3,000 บาทต่อคน) และการตรวจ ATK อีกทุกสัปดาห์ ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 33,187,630 บาท (คิดที่อัตรา ATK 70 บาทต่อคนต่อสัปดาห์) และหากต้องตรวจ 4 ครั้งต่อเดือนแรงงานต้องใช้อุปกรณ์ ATK จำนวนทั้งสิ้น 1,896,436 ชิ้น(และจะใช้งบประมาณเท่ากับ 132,750,520 บาท)
ดังนั้น เพื่อให้เกิดการรักษาเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจ การจ้างงาน ควบคู่กับการควบคุมและป้องกันโรคอันเป็นกระบวนการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด-19 และสอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามหลักกฎหมายของรัฐธรรมนูญไทยพ.ศ.2560 จึงมีข้อเสนอแนะ 1.จัดทำคู่มือว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิคนงานภายใต้โครงการควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ เพื่อเป็นแนวทางที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการ และแรงงาน ในกรณีที่ต้องมีการพักหยุดงานการใช้วันหยุด วันลาของแรงงาน
ความชัดเจนของการจ่ายค่าแรง หรือค่าชดเชย เนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎการปฏิบัติตัวเพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เพื่อป้องกันมิให้แรงงานสูญเสียสิทธิอันพึงได้รับตาม .ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โดย “กระทรวงแรงงานจะต้องออกประกาศกำหนดให้การลาป่วยหรือการกักตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นการลาป่วยที่ต้องได้รับค่าจ้างตามกฎหมาย” ไม่อยู่ในเงื่อนไขของการลาป่วยตามปกติเนื่องจากมีระยะเวลาในการรักษาตัวหรือกักตัวในการควบคุมโรคเป็นระยะเวลานาน
2.กระทรวงแรงงานควรพิจารณาขยายกลุ่มแรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนตามพ.ร.บ.ประกันสังคม มาตรา 33 เนื่องจากแรงงานในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ มีทั้งแรงงานไทยและข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันแรงงานข้ามชาติถูกจัดแบ่งการบริหารเป็นหลายกลุ่มประเภท ซึ่งอาจจะทำให้แรงงานบางรายอยู่ในขั้นตอนที่กำลังเข้าสู่การเป็นผู้ประกันตน รวมถึงการเข้าถึงสิทธิประกันการว่างงาน ในกรณีที่เป็นกลุ่มเสี่ยง และถูกให้กักตัว โดยที่แรงงานอาจจะไม่สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
3.กระทรวงสาธารณสุขควรเป็นเจ้าภาพในการจัดสรรงบประมาณด้านการจัดซื้ออุปกรณ์การตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 โดยไม่จัดเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ประกอบการหรือแรงงาน โดยพิจารณาการจัดสรรงบประมาณที่กระทรวงสาธารณสุขอาจได้รับจากโครงการภายใต้ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ กรอบวงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขมีกรอบวงเงินอยู่ที่ 63,898 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 47วรรคสาม ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” ทั้งนี้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยได้ตระหนักและยอมรับว่า โรคระบาดโควิด-19 เป็นโรคที่อุบัติขึ้นใหม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพต่อประชากรทุกคนรวมทั้งการพัฒนาของประเทศในทุกมิติ 4.กระทรวงแรงงานเร่งรัดให้มีการจัดสรรวัคซีนให้แก่แรงงานทุกคนเป็นวาระด่วน อันเป็นมาตรการที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค การเจ็บป่วยการเสียชีวิตของประชากร
5.สำนักงานประกันสังคม กองเศรษฐกิจ แล้วแต่กรณี เชื่อมต่อให้สถานบริการสุขภาพตามสิทธิของแรงงานในพื้นที่นั้นๆ เข้ามาเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดการดูแลเรื่องการสถานพยาบาลของ Factory Sandbox ในแต่ละจุด หรือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการดูแลรักษาพยาบาลแรงงานทุกคน โดยค่าใช้จ่ายให้สปสช. ไปดำเนินการเบิกจ่ายจากหน่วยงานดูแลกองทุนเองโดยไม่ปล่อยให้เป็นภาระของสถานประกอบการ หรือตัวแรงงาน
และ 6.มีมาตรการที่ชัดเจน แนวปฏิบัติ การติดตามเรื่องการจัดการที่พักสำหรับการกักตัวของแรงงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่สถานประกอบการต้องดำเนินการ โดยมุ่งเน้นเรื่องการดูแลเรื่องการอุปโภค-บริโภค เรื่องความแออัดของพื้นที่ ป้องกันความเสี่ยง รวมถึงมาตรการในการรองรับกรณีที่ต้องมีการแยกพ่อแม่ ออกมากักตัวโดยที่ลูกของแรงงานไม่มีการดูแล!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี