“เรื่องเล่าของป๋าเปรม” ฉบับนี้ ดร.สุเมต สุวรรณพรหมสรุปผลงานชิ้นโบแดงอีกชิ้นหนึ่ง ของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นั่นคือบทบาททางด้านต่างประเทศ ซึ่งได้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ในรูปแบบจากวิธีการทางการเมืองการทูตทั่วๆ ไป อย่างที่เคยทำมาก่อนมาสู่การขยายงานที่เป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน มากขึ้นตามลำดับ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ภายในประเทศในการแข่งขันหาตลาดการค้าต่างประเทศซึ่งนับวันมีการกีดกัน การแข่งขันกันมากยิ่งขึ้น
ในการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งในประเทศภาคพื้นยุโรปสหรัฐอเมริกา หรือในอาเซียน นอกจากจะมีนักธุรกิจชั้นนำ สาขาต่างๆ ร่วมเดินทางไปด้วยแล้ว รายการพบปะสนทนากับบรรดาผู้นำประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศที่ไปเยือนเหล่านี้ พลเอกเปรมก็ได้หยิบยกเรื่องสำคัญทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนและการลดอุปสรรคต่างๆ ที่เป็นปัญหาเผชิญหน้าอยู่ขึ้นมาหารือด้วยทุกครั้งนอกเหนือไปจากเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศ และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของการเจรจาตามปกติ นโยบายใหม่ทางด้านเศรษฐกิจ และการค้าการลงทุนโดยอาศัยกลไกทางกระทรวงการต่างประเทศ เข้าช่วยเหลือ ดำเนินการด้วยทางหนึ่งนี้ได้ทำให้กระทรวงการต่างประเทศมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น ในการขยายความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างประเทศ
โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ห่างไกล ประเทศที่ไม่คุ้นเคยหรือต่างอุดมการณ์ไม่ว่าจะเป็นในแอฟริกาหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย และแปซิฟิกตอนใต้ อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง หรือยุโรปตะวันออก
เมื่อตอนที่พลเอกเปรมเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปีพ.ศ.2523 นั้น ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย มีจำนวน 101 ประเทศ แต่ในปีพ.ศ.2531 ที่พ้นจากหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ได้เพิ่มขึ้นเป็น 143 ประเทศ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ และคณะทูตถาวรไทย ซึ่งเคยมีอยู่ 56 แห่ง ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 66 แห่ง
รายการประชุมพบปะกับบรรดาเอกอัครราชทูตไทยและกงศุลระหว่างที่เดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ นั้นนอกจากจะเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองให้ฟังแล้วพลเอกเปรมได้มอบนโยบายสำคัญแก่บรรดาเอกอัครราชทูตและกงสุลเพื่อช่วยกันปฏิบัติเสมอ นโยบายที่ว่านี้ก็คือ “ขอให้ท่านทูตทั้งหลายช่วยกันทำหน้าที่สำคัญ 4 ประการ คือ ช่วยขายสินค้าไทย ชักชวนคนมาลงทุน ชักชวนคนมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และสร้างภาพพจน์ที่ดีของประเทศไทย..”
ความเป็นเอกภาพในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ในช่วงปีพ.ศ 2523 ถึง 2531 ของรัฐบาลพลเอกเปรมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สำคัญของชาติคือ การรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติ และให้ประเทศดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง มีเอกราช มีอธิปไตย มีเกียรติมีศักดิ์ศรีทัดเทียมอารยประเทศในประชาคมโลก เป็นที่เชื่อถือของมิตรประเทศทั้งหลายนั้น
กล่าวได้ว่า มีความเป็นไปด้วยดีและอย่างราบรื่นที่สุด กลไกของรัฐทั้งหมดทั้งจากส่วนราชการในกระทรวงต่างๆ และภาคเอกชน ได้มีการทำงานประสานกันและร่วมมือกันอย่างดี ในการดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศตามที่รัฐบาลกำหนดโดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นแกนหลักและมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สนับสนุนและช่วยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด
เรื่องความรู้และความเข้าใจ ทางด้านต่างประเทศนั้น พลเอกเปรมเป็นบุคคลหนึ่งที่ชอบแสวงหาเพิ่มเติมโดยตลอดเวลาทั้งจากการอ่านการฟังและการปฏิบัติในโอกาสต่างๆ กัน ผู้ที่เคยร่วมฟังการสนทนาระหว่างพลเอกเปรมกับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศไม่ว่าจะมาเข้าพบที่ทำเนียบรัฐบาลหรือพบกันในต่างประเทศระหว่างการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ ย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า นายกรัฐมนตรีมีความรู้ความเข้าใจทางด้านต่างประเทศเป็นอย่างมาก ไม่แพ้เรื่องภายในประเทศทีเดียวเพราะการสนทนาและตอบข้อซักถามต่างๆ ที่มีขึ้นระหว่างการสนทนานั้นไม่มีผู้ใดไปช่วยตระเตรียมให้ได้ในทันทีขณะนั้น
บุคคลที่ร่วมงานกับพลเอกเปรม และท่านได้ให้ความไว้วางใจและเชื่อถือในข้อคิดเห็นด้านการต่างประเทศนอกจาก พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา พันเอกถนัด คอมันตร์ แล้ว ก็คือ นายอรุณ ภาณุพงศ์ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและต่อมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่มีบทบาท กับการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศ ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความรู้ มีความเข้าใจ เป็นคนดีคนเก่ง ในด้านการทูต และการเมืองต่างประเทศ ล้วนแต่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านต่างประเทศ ที่ดีทั้งนั้น ความสำเร็จของประเทศไทยทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ที่สร้างความเชื่อมั่น ในประชาคมโลกดังกล่าวนี้
ปรากฏให้เห็น จากการแสดงออกของนิตยสารชั้นนำของโลกหลายฉบับ เช่น นิตยสาร Economic และหนังสือพิมพ์ Asian Wall Street journal ชมเชยว่า ประเทศไทยมีความมั่นคงภายในเพราะรัฐบาลไทยเป็นที่ยอมรับทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาล กับภาคเอกชน ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
นิตยสาร Time และนิตยสาร Asia Week ได้คาดคะเนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอัตราสูงถึงร้อยละ 6 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย นิตยสาร “ฟอร์จูน” จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศเติบโตรวดเร็ว ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มล่างสุด ส่วนประเทศอาเซียนอื่นๆ (ยกเว้นสิงคโปร์) ยังอยู่ในกลุ่ม “มีโอกาสจะรุ่ง” เท่านั้น
รัฐบาลที่มีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีไม่เคยสร้างความระแวงสงสัยให้เกิดขึ้นกับมิตรประเทศในการดำเนินนโยบายไม่เคยทำให้ประเทศเกิดความรู้สึกใดๆ ว่าเราจะเปลี่ยนนโยบายใหม่เพราะการกระทำที่แปลกๆ โดยไม่มีการร่วมปรึกษาหารือกันมาก่อนหรือแม้กระทั่งกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหภาพโซเวียต มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเวียดนาม ในการยึดครองกัมพูชา พลเอกเปรมก็ได้พูดจาอย่างตรงไปตรงมากับผู้นำของประเทศนี้ เพื่อยุติการสู้รบ และเวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชา
ในปี 2531 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้พบปะเจรจากับ นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ที่พระราชวังเครมลินกรุงมอสโกน่าเสียดายว่า พื้นที่ในการเขียนวันนี้ ต้องจบลงเพียงเท่านี้ แล้วผมจะนำ ข้อมูลการพบปะระหว่างพลเอกเปรม กับนายกอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต มาเสนออีกหน ว่าการพูด การเจรจา ทางการทูตของพลเอกเปรมในครั้งนั้นเป็นอย่างไรพูดกันเช่นไร
ทั้งนี้ พลเอกเปรมท่านพูดน้อยแต่พูดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ สุดท้ายขอฝากแฟนแนวหน้าท่านใดที่ประสงค์ จะมีหนังสือทรงคุณค่า...ที่บันทึกเรื่องราวของพลเอกเปรมเล่มล่าสุด ชื่อ “รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน” ก็ติดต่อไปที่ไอดีไลน์และโทรศัพท์ 08-1110-3939
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี