จากเหตุการณ์อลวนอลเวง เล่นแง่เล่นมุม กันในหมวดหมู่ฝ่ายรัฐบาลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 3-4 กันยายนนี้ ไปจนถึงการปลด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ออกจากตำแหน่งแบบสายฟ้าแลบของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะที่ทั้ง 2 คน เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการและเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ตามลำดับ โดยใน 3-4 วันต่อมาก็มีข่าวต่อเนื่องว่า นายกรัฐมนตรีกับเลขาธิการ และเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐไม่มองหน้ากัน ถือเป็นเหตุการณ์อันกระอักกระอ่วนในรัฐบาล เพราะนายกรัฐมนตรีนั้นยังต้องพึ่งเสียงของพรรคพลังประชารัฐในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเป็นพลังค้ำจุนอำนาจของตัวนายกรัฐมนตรี และในทางกลับกัน ทางพรรคพลังประชารัฐเองก็ยังต้องพึ่งพานายกรัฐมนตรีในการครองตำแหน่งรัฐมนตรีอื่นๆ และร่วมกันเป็นรัฐบาลต่อไป ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นไปในแบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
เรื่องนี้ตื้นลึกหนาบางอย่างไร ก็คงจะรู้กันไม่กี่คนทั้งในฝ่ายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และฝ่ายพลังประชารัฐ แต่มองจากผู้คนภายนอกก็เกิดคำถามว่า แล้วจะอยู่กันได้อย่างไรต่อไปในเมื่อผู้นำรัฐบาลกับเลขาธิการพรรค และเหรัญญิกพรรค คงจะไม่เผาผีกันแล้ว?
ก่อเป็นคำถามคาใจประชาชนอีกว่า รัฐนาวาจะแล่นฉิวไปได้อย่างไร? เพราะความสัมพันธ์ก็จะแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ความไม่ไว้วางใจ และไม่โอภาปราศรัยต่อกัน ย่อมส่งผลให้การบริหารราชการขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมันก็ดูผิดธรรมชาติที่เมื่อเกิดกรณีการหักล้าง หักหน้า กันแล้ว จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?
โดยมารยาททางการเมืองแบบสากลหากโดนปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีเช่นนี้ ก็คงต้องมีการพิจารณาตัว ขอลาออกจากตำแหน่งบริหารในพรรคไปแล้ว เพื่อบรรเทาสถานการณ์ความตึงเครียด และเพื่อการปรับกระบวนยุทธ์ให้ร่วมกันเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะเรื่องที่จะต้องดำเนินการร่วมกันอย่างน้อย 2 เรื่องด้วยกัน คือการแก้ไข/ออกกฎหมาย และการเตรียมการการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ในขณะเดียวกันมันก็เป็นภาระหน้าที่โดยตรงของทั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่จะต้องให้ความมั่นใจและความสบายใจต่อประชาชนพลเมืองในการบริหารและนำพาประเทศชาติ จะปล่อยให้ภาพของการไม่ลงรอย ความกระอักกระอ่วน พะอืดพะอมให้ค้างคามิได้ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอย่างน้อยก็ควรจะจัดให้มีการปรับความเข้าใจ ขอโทษขอโพย ลืมเรื่องเก่าๆ แล้วก็เริ่มกันใหม่ต่อไป ในสังคมไทยก็คงจะกระทำได้ 2 ทางด้วยกัน คือ ผู้หลักผู้ใหญ่ใช้ความเมตตา ให้อภัย ยกโทษ หรือไม่ก็ฝ่ายผู้น้อยเข้าพบขอขมาปรับความเข้าใจ โดยเห็นแก่ส่วนรวมใน 2 ระดับ คือในระดับฝ่ายรัฐบาลด้วยกัน และในระดับผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งต้องการกลุ่มผู้นำที่มีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน มิฉะนั้นแล้วก็จะมีสภาพเป็น “เป็ดง่อย” (Lane duck) อันจะเป็นสภาพการณ์ที่ไม่ดีเลยสำหรับประเทศไทย
ในความขัดแย้งใดๆ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิที่จะเอาความเป็นตัวตน ความเป็นอัตตามาเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นชาติไทยเป็นหลัก ซึ่งก็หมายถึงการใช้สติ และการถ่อมตนเป็นที่ตั้ง อันจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลัง และเป็นแบบอย่างของการมีบทบาททางการเมืองในฐานะผู้อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองอย่างสร้างสรรค์ สะท้อนความมีจิตใจที่ว่าอะไรควรมิควร
การยึดมั่นถือมั่นในความแค้นส่วนตน แล้วทำให้ชาติบ้านเมืองต้องรับเคราะห์กรรม ได้รับผลกระทบ ก็ถือว่าเป็นผู้ทำลายมากกว่าผู้สร้าง คู่กรณีทางการเมืองจึงควรนึกถึงคำที่ว่า“มีใจนักเลง” ผิดพลาดแล้วรับผิด และให้อภัยกันเริ่มต้นใหม่ได้ นั่นคือความสง่างามและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี