วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ “การประชุมภาคีด้านความปลอดภัยทางถนน แนวทางการใช้หลักสูตรการเรียนการสอนด้านความปลอดภัยทางถนนเพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในกลุ่มนักเรียนอายุ 10-18 ปี” ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง กรุงเทพฯ ซึ่งในงานนี้ มีการเปิดเผยสถานการณ์ “เด็ก-เยาวชนไทยกับอุบัติเหตุบนท้องถนน” ซึ่งเป็นตัวเลขที่“น่าตระหนก” อย่างมาก
ปัญณ์ จันทร์พาณิช หัวหน้ากลุ่มพัฒนามาตรการป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค นำเสนอตัวเลขจำนวนผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) ปี 2562 พบว่า เป็นประชากรอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 34,902 คน คิดเป็นร้อยละ 13.99 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ประชากรอายุ 10-14 ปีอยู่ที่ 13,802 คน คิดเป็นร้อยละ 5.53 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ
เช่นเดียวกับจำนวนผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ปี 2562 พบว่า เป็นประชากรอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 160,390 คน
คิดเป็นร้อยละ 17.8 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ประชากรอายุ 10-14 ปี อยู่ที่ 84,804 คนคิดเป็นร้อยละ 9.4 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ และจำนวนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ปี 2562 เป็นประชากรอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 2,183 คน คิดเป็นร้อยละ 10.96 ของผู้เสียชีวิตทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ประชากรอายุ 10-14 ปี อยู่ที่ 651 คน คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับ “พฤติกรรมการใช้จักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) ในสังคมไทย” เพราะเมื่ออายุได้ 10-14 ปี เด็กไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มเดินทาง
ด้วยตนเอง ซึ่งต้องบอกว่า “ส่วนใหญ่ไม่เคยเรียนรู้ทักษะการขับขี่ปลอดภัย” แบ่งเป็นร้อยละ 28 หัดขี่ด้วยตนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากหากขี่จักรยานเป็นอยู่แล้ว
กับอีกร้อยละ 72 ที่มีคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ พี่ ญาติ เพื่อน ฯลฯ เป็นผู้สอนขี่ และนั่นเป็นที่มาของการประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้หลักสูตรความปลอดภัยทางถนนได้ถูกนำไปสอนในโรงเรียน หวังว่าจะลดการสูญเสียได้ในอนาคต
“ทำไมผมคัด 10-19 ปี? เพราะรูปแบบการแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละช่วงอายุแตกต่างกัน อย่างช่วงอายุ 0-4 ปี และ 5-9 ปี เด็กจะอยู่บ้านหรืออยู่ศูนย์เด็กเล็กการดูแลก็จะเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ แล้วก็เป็นครูพี่เลี้ยง 5-9 ปีก็จะเป็นประถมส่วนหนึ่ง หรืออนุบาล 5-6 ขวบ การเดินทางก็จะเดินทางกับพ่อแม่ แต่เมื่อ 10-14 ปี การเดินทางก็จะเริ่มเดินทางด้วยตัวเองบ้างแล้วบางคนก็ขี่มอเตอร์ไซค์ได้แล้ว 15-19 ปีก็เดินทางด้วยตัวเองค่อนข้างเยอะ
ดังนั้นการตายลักษณะนี้เราก็จะเห็นว่าตอนอายุ 15-19 ปี ค่อนข้างสูงที่สุด รองลงมาคือ 20-24 ปี อันนี้ก็อยู่ในกลุ่มมหาวิทยาลัย เหตุผลที่ทำไมผมโฟกัสที่ 10-19 ปี มันเป็นเวลาที่เข้าถึงเขาได้มากที่สุด เพราะเขาอยู่ในส่วนของการศึกษา ก็คือในการเรียนการสอน ถ้าเป็น20-24 ปีเขาเริ่มกระจาย ไปอยู่มหา’ลัยบ้าง บางคนก็อยู่ในสถานประกอบการ ทำงานแล้ว” ปัญณ์ ระบุ
เช่นเดียวกับ สุขเกษม เทพสิทธิ์ นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ยอมรับว่า “ห้ามเด็กไม่ให้ใช้จักรยานยนต์ไม่ได้” เด็กขี่จักรยานกันเป็นอยู่แล้ว พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มขี่มอเตอร์ไซค์ “โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัด แค่ 9 ขวบก็เริ่มขี่แล้ว” แต่การหัดขี่นั้นไปฝึกกันเอง ไม่ได้เรียนรู้ทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย
ตัวอย่างที่น่าสนใจจากโรงเรียนนำร่อง ว่าที่ ร.ต.ณัฐพล นาคะเต ครูโรงเรียนวัดทรงธรรม อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เล่าว่า ที่โรงเรียนมีการใช้หลักสูตร “VIA Programme” ซึ่งออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนนและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาโดยการสนับสนุนหลักจาก Michelin Foundation และ Total Foundation และดำเนินงานโดย Global Road Safety Partnership (GRSP) องค์กรด้านความปลอดภัยทางถนนที่จัดตั้งขึ้นโดยสภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ
หลักสูตรนี้มีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในคู่มือครูมีการระบุชัดเจนทั้งแนวทางการสอน ใบงานและกิจกรรม มีการสาธิตและจำลองเหตุการณ์บนท้องถนนจริงๆ เช่น นำรถยนต์หรือจักรยานยนต์มาจอดไว้แล้วให้นักเรียนทดลองนั่งเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ “จุดบอด” หมายถึงมุมที่ผู้ขับขี่จะมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุต่างๆ หรือการให้ปิดตาแล้วเปิดเสียงดังรบกวน เพื่อให้เข้าใจสถาพการขับขี่จริงที่มีเสียงจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ยวดยานพาหนะ
“ให้นักเรียน 20-30 คน ถือตัวเลขคนละหนึ่งตัวเลข 1-20 อะไรก็แล้วแต่ แล้วไปอยู่ตามจุดต่างๆ แล้วก็ให้นักเรียนขึ้นไปบนรถ ไปดูที่กระจกมองหลัง-กระจกข้าง ว่านักเรียนเห็นตัวเลขกี่ตัวบ้าง ก็คือให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเหมือนว่าซ้อมดับเพลิง เราก็ได้ไปดับไฟ แบบนี้คือความปลอดภัยในท้องถนน เราได้ตระหนัก เราให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ” ว่าที่ ร.ต.ณัฐพล ยกตัวอย่าง
ด้าน นิกร จำนง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงตัวอย่างของ รร.วัดทรงธรรมว่า ต้นแบบการเรียนการสอนลักษณะนี้ยังมีไม่กี่แห่งจะทำอย่างไรจึงขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้ การสร้างทัศนคติ สร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยบนท้องถนนกับเด็กและเยาวชน ยังส่งผลไปถึงผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย
“เราต้องแก้ที่เด็ก พอเด็กเปลี่ยน เราเริ่มแต่เด็กเริ่มจากต้นน้ำก็คือเด็ก แล้วในระหว่างนั้นเด็กจะมีอิทธิพลต่อพ่อแม่มาก อย่างที่บอกว่าถ้าเขาใส่หมวกกันน็อก แต่ใส่แล้วพ่อแม่ไม่ใส่ ก็เลยถามทำไมพ่อไม่ใส่ เราต้องการเอาเด็กเหนี่ยวนำผู้ใหญ่” รอง ปธ.กมธ.การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าว

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี