เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ “การประชุมภาคีด้านความปลอดภัยทางถนน แนวทางการใช้หลักสูตรการเรียนการสอนด้านความปลอดภัยทางถนนเพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในกลุ่มนักเรียนอายุ 10-18 ปี” ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง กรุงเทพฯ ซึ่งในงานนี้ มีการเปิดเผยสถานการณ์ “เด็ก-เยาวชนไทยกับอุบัติเหตุบนท้องถนน” ซึ่งเป็นตัวเลขที่“น่าตระหนก” อย่างมาก
ปัญณ์ จันทร์พาณิช หัวหน้ากลุ่มพัฒนามาตรการป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค นำเสนอตัวเลขจำนวนผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) ปี 2562 พบว่า เป็นประชากรอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 34,902 คน คิดเป็นร้อยละ 13.99 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ประชากรอายุ 10-14 ปีอยู่ที่ 13,802 คน คิดเป็นร้อยละ 5.53 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ
เช่นเดียวกับจำนวนผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ปี 2562 พบว่า เป็นประชากรอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 160,390 คน
คิดเป็นร้อยละ 17.8 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ประชากรอายุ 10-14 ปี อยู่ที่ 84,804 คนคิดเป็นร้อยละ 9.4 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ และจำนวนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ปี 2562 เป็นประชากรอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 2,183 คน คิดเป็นร้อยละ 10.96 ของผู้เสียชีวิตทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ประชากรอายุ 10-14 ปี อยู่ที่ 651 คน คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของผู้บาดเจ็บทุกกลุ่มอายุ
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับ “พฤติกรรมการใช้จักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) ในสังคมไทย” เพราะเมื่ออายุได้ 10-14 ปี เด็กไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มเดินทาง
ด้วยตนเอง ซึ่งต้องบอกว่า “ส่วนใหญ่ไม่เคยเรียนรู้ทักษะการขับขี่ปลอดภัย” แบ่งเป็นร้อยละ 28 หัดขี่ด้วยตนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากหากขี่จักรยานเป็นอยู่แล้ว
กับอีกร้อยละ 72 ที่มีคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ พี่ ญาติ เพื่อน ฯลฯ เป็นผู้สอนขี่ และนั่นเป็นที่มาของการประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้หลักสูตรความปลอดภัยทางถนนได้ถูกนำไปสอนในโรงเรียน หวังว่าจะลดการสูญเสียได้ในอนาคต
“ทำไมผมคัด 10-19 ปี? เพราะรูปแบบการแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละช่วงอายุแตกต่างกัน อย่างช่วงอายุ 0-4 ปี และ 5-9 ปี เด็กจะอยู่บ้านหรืออยู่ศูนย์เด็กเล็กการดูแลก็จะเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ แล้วก็เป็นครูพี่เลี้ยง 5-9 ปีก็จะเป็นประถมส่วนหนึ่ง หรืออนุบาล 5-6 ขวบ การเดินทางก็จะเดินทางกับพ่อแม่ แต่เมื่อ 10-14 ปี การเดินทางก็จะเริ่มเดินทางด้วยตัวเองบ้างแล้วบางคนก็ขี่มอเตอร์ไซค์ได้แล้ว 15-19 ปีก็เดินทางด้วยตัวเองค่อนข้างเยอะ
ดังนั้นการตายลักษณะนี้เราก็จะเห็นว่าตอนอายุ 15-19 ปี ค่อนข้างสูงที่สุด รองลงมาคือ 20-24 ปี อันนี้ก็อยู่ในกลุ่มมหาวิทยาลัย เหตุผลที่ทำไมผมโฟกัสที่ 10-19 ปี มันเป็นเวลาที่เข้าถึงเขาได้มากที่สุด เพราะเขาอยู่ในส่วนของการศึกษา ก็คือในการเรียนการสอน ถ้าเป็น20-24 ปีเขาเริ่มกระจาย ไปอยู่มหา’ลัยบ้าง บางคนก็อยู่ในสถานประกอบการ ทำงานแล้ว” ปัญณ์ ระบุ
เช่นเดียวกับ สุขเกษม เทพสิทธิ์ นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ยอมรับว่า “ห้ามเด็กไม่ให้ใช้จักรยานยนต์ไม่ได้” เด็กขี่จักรยานกันเป็นอยู่แล้ว พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มขี่มอเตอร์ไซค์ “โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัด แค่ 9 ขวบก็เริ่มขี่แล้ว” แต่การหัดขี่นั้นไปฝึกกันเอง ไม่ได้เรียนรู้ทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย
ตัวอย่างที่น่าสนใจจากโรงเรียนนำร่อง ว่าที่ ร.ต.ณัฐพล นาคะเต ครูโรงเรียนวัดทรงธรรม อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เล่าว่า ที่โรงเรียนมีการใช้หลักสูตร “VIA Programme” ซึ่งออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนนและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาโดยการสนับสนุนหลักจาก Michelin Foundation และ Total Foundation และดำเนินงานโดย Global Road Safety Partnership (GRSP) องค์กรด้านความปลอดภัยทางถนนที่จัดตั้งขึ้นโดยสภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ
หลักสูตรนี้มีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในคู่มือครูมีการระบุชัดเจนทั้งแนวทางการสอน ใบงานและกิจกรรม มีการสาธิตและจำลองเหตุการณ์บนท้องถนนจริงๆ เช่น นำรถยนต์หรือจักรยานยนต์มาจอดไว้แล้วให้นักเรียนทดลองนั่งเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ “จุดบอด” หมายถึงมุมที่ผู้ขับขี่จะมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุต่างๆ หรือการให้ปิดตาแล้วเปิดเสียงดังรบกวน เพื่อให้เข้าใจสถาพการขับขี่จริงที่มีเสียงจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ยวดยานพาหนะ
“ให้นักเรียน 20-30 คน ถือตัวเลขคนละหนึ่งตัวเลข 1-20 อะไรก็แล้วแต่ แล้วไปอยู่ตามจุดต่างๆ แล้วก็ให้นักเรียนขึ้นไปบนรถ ไปดูที่กระจกมองหลัง-กระจกข้าง ว่านักเรียนเห็นตัวเลขกี่ตัวบ้าง ก็คือให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเหมือนว่าซ้อมดับเพลิง เราก็ได้ไปดับไฟ แบบนี้คือความปลอดภัยในท้องถนน เราได้ตระหนัก เราให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ” ว่าที่ ร.ต.ณัฐพล ยกตัวอย่าง
ด้าน นิกร จำนง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงตัวอย่างของ รร.วัดทรงธรรมว่า ต้นแบบการเรียนการสอนลักษณะนี้ยังมีไม่กี่แห่งจะทำอย่างไรจึงขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้ การสร้างทัศนคติ สร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยบนท้องถนนกับเด็กและเยาวชน ยังส่งผลไปถึงผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย
“เราต้องแก้ที่เด็ก พอเด็กเปลี่ยน เราเริ่มแต่เด็กเริ่มจากต้นน้ำก็คือเด็ก แล้วในระหว่างนั้นเด็กจะมีอิทธิพลต่อพ่อแม่มาก อย่างที่บอกว่าถ้าเขาใส่หมวกกันน็อก แต่ใส่แล้วพ่อแม่ไม่ใส่ ก็เลยถามทำไมพ่อไม่ใส่ เราต้องการเอาเด็กเหนี่ยวนำผู้ใหญ่” รอง ปธ.กมธ.การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี