ข่าวที่พาดหัวข่าว ใน นสพ. ในช่วงที่ผ่านมาที่เป็นที่น่าสนใจในวงการธุรกิจมาก คือ การที่กลุ่มซีพี ที่ได้ชนะการคัดเลือกให้เป็นผู้ได้รับสัญญาสัมปทานไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินแต่ผู้เดียว ขอยืดสัญญาออกไป โดยยังไม่ต้องชำระเงิน 10,671 ล้านบาท ให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อรับมอบรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ไปดำเนินกิจการ ตามกำหนด โดยครม. เมื่อวันที่ 19 ต.ค. มีมติเห็นด้วยว่า ผลกระทบจากการเกิดโรคระบาดโควิด-19 เป็นเหตุสมควรรับไว้พิจารณาให้การเยียวยาผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
ปัญหาที่เกิดเป็นข่าวขึ้น ก็คือการขอเลื่อนการชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ จำนวน 10,671 ล้านบาท ซึ่งบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ชื่อเป็นทางการของ กลุ่มซีพี)ขอปรับปรุงข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาร่วมลงทุน นอกจากจะขอขยายเวลาการชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จนกว่าจะได้ข้อยุติในการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนแล้ว ยังมีการขอเยียวยาในเรื่องอื่นๆ อีกมาด้วย ได้แก่ การขอปรับเปลี่ยนวิธีการชำระเงินร่วมลงทุนโครงการ และการขยายระยะเวลาโครงการ
ยังดีที่ปัจจุบัน ตามระเบียบและข้อกฎหมายมีขั้นตอนที่ต้องผ่านกว่าจะแก้ไขตัวสัญญาได้ คือยังต้องเสนอร่างสัญญาที่มีการแก้ไขให้อัยการสูงสุดตรวจสอบ รวมถึงผ่านความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กฤษฎีกา แล้วจึงจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ในขั้นสุดท้ายได้
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เครือซีพีได้เข้าร่วมการประมูลโครงการ ในนามกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร ได้เอาชนะการประมูลด้วยข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐต่ำที่สุดในวงเงิน 117,227 ล้านบาท ชนะกลุ่ม กิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (BSR Joint Venture)ที่เสนอวงเงินที่ต้องให้รัฐสนับสนุนสูงกว่า ด้วยยอดเงินจำนวน 169,934 ล้านบาท แต่พอขั้นเจรจาเพื่อลงนามในสัญญากับรัฐบาล กลับมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่นอกเหนือที่ได้กำหนดไว้ในประกาศ TOR อาทิ เรื่องการประกันอัตราดอกเบี้ย การประกันกำไรขั้นต้น และการจ่ายงวดเงินที่รัฐต้องจ่ายให้เอกชนที่ก่อสร้างเสร็จ ต่างกับที่กำหนดไว้ในประกาศ บางข้อเรียกร้องก็ไม่มีอยู่ในเงื่อนไข เอามาเจรจาขอเพิ่มในสัญญาทำให้เจรจากันยืดเยื้อกันถึง 4 เดือน เป็นที่เพ่งเล็งของคนทั่วไปเป็นอันมาก
ในกรณีนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดย ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการฯ ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่า ในเมื่อ TOR ก่อนการประกวดราคา เขียนทุกอย่างไว้อย่างชัดเจน ทำไมต้องเจรจากับเอกชนหลายรอบ เป็นเรื่องที่น่าสงสัย “...ตามวิธีปฏิบัติ หากคนที่ได้รับคัดเลือกให้เจรจารายที่ 1 ผิดเงื่อนไขใน TOR ต้องหยุดเจรจากับรายนั้น แล้วต้องเลื่อนรายถัดไปเข้ามาเจรจา แต่เหตุไฉน ถึงเจรจากับกลุ่มเอกชนรายนี้ถึง 4 รอบ ยังไม่มีข้อยุติ ยังนัดเจรจาอีก…”
อันที่จริงแล้ว ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก ที่เกิดขึ้นในการจัดการเรื่องของสัมปทานของรัฐบาลต่างๆ ที่ผ่านมาแทบทุกยุคทุกสมัย จนน่าจะได้รับบทเรียนมามากเพียงพอ ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาได้อีก
ในขณะนี้การเข้าประมูลต่างๆ กับรัฐก็ยังใช้วิธีดั้งเดิม คือถ้าใครมีเส้นสายอยู่ในหน่วยงานของรัฐก็จะเสนอประมูลด้วยตัวเลขที่ดีๆ ให้ชนะประมูลไว้ก่อน เมื่อได้สัญญาแล้วจึงค่อยขอเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อกำหนดในสัญญาต่างๆ ในภายหลัง ซึ่งประชาชนทั่วไปจะไม่ได้รับรู้ข่าวสารต่างๆ เหล่านี้ ทำให้แก้ไขกันง่ายๆ โดยมีผู้รู้เห็นกันเพียงไม่กี่ราย ทั้งหมดนี้ทำให้ไม่ค่อยมีบริษัททั่วไปไม่ค่อยกล้าเสนอราคาในโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ เพราะมีกำหนดเวลาก่อสร้างไว้น้อยเกินไปยกเว้นแต่บริษัทที่มีเส้นสาย ซึ่งกล้าเสนอเพราะรู้ว่าจะหาเหตุต่างๆ ให้ยืดเวลาการก่อสร้างออกไปเป็น 2 เท่า 3 เท่า ได้ตลอด โดยไม่ต้องเสียค่าปรับอีกด้วย
ที่สำคัญ ปัญหาความเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันเช่นนี้ไม่ได้เกิดแค่ในโครงการก่อสร้างเท่านั้น เช่น ในบางสัมปทานเครือข่ายคลื่นโทรศัพท์มือถือ ที่มีสัญญาต้องจ่ายค่าสัมปทานให้รัฐระยะยาว ยังมีการยกเลิกไม่เก็บอีกต่อไป สูญเสียรายได้ไปแสนล้าน สัมปทานเคเบิ้ล ทีวี ที่เดิมห้ามมีโฆษณา วันดีคืนดีก็แก้ไขสัญญาให้มีโฆษณาได้ สัมปทาน ดาวเทียมที่หมดสัญญาแล้ว จะต้องกลับคืนมาเป็นของรัฐ แต่รัฐกลับไม่รับคืนบอกเหตุผลว่าไม่พร้อม ไม่มีบุคลากร สัมปทานขายสินค้าปลอดภาษีในทุกท่าอากาศยาน สามารถยืดต่อเวลาได้ตลอดเรื่อยมา
เมื่อ 13 ปีก่อนเคยมีการคุยประเด็นนี้ในการสัมมนา ที่จัดโดย ป.ป.ช. เรื่อง “การทุจริตในรัฐวิสาหกิจ - ปัญหาและแนวทางแก้ไข” มีผู้บรรยายรวม3 ท่าน คือ ศ.ดร.เมธี ครองแก้ว กรรมการ ป.ช.ช. (ในขณะนั้น) ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI และ ผม ปัญหาที่พูดกันในวันนั้น วันนี้ก็ยังมีเหมือนเดิม เหมือนหน่วยงานที่เข้าฟังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนอะไรจากอดีตบ้างเลย
ไม่รู้ว่าควรเสนอให้จัดสัมมนากันใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงจริงๆ แล้วนะ หรือ หาวิธีใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหานี้เอง เพื่อหวังว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณให้ประเทศไทยได้เป็นแสนๆ ล้านจากการบริหารสัมปทานที่ไม่เป็นธรรมในการแข่งขันเช่นนี้
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี