สังคมไทยทุกวันนี้ มีภาวะแบ่งแยก เหยียดหยาม เอาชนะ มัวเมาในพวก ขาดความเคารพซึ่งกันและกัน ใช้หลักกูแทนหลักการ ฯลฯ ที่นำไปสู่สภาวะที่พร้อมจะ “ปะทะ” กันอยู่เสมอทั้งปะทะด้วยความคิด วาจา และบางคราก็ด้วย “กำลัง”
เงื่อนไขหนึ่งที่ถูกใช้ และน่าเป็นห่วง คือ การใช้ “สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็นเส้นแบ่งคน ดังกรณีตัวอย่างต่อไปนี้
1) นายทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการนิตยสารสีสัน โพสต์เฟซบุ๊คและตั้งค่าเป็น “เฉพาะเพื่อน” ด้วยข้อความว่า
“เข้าโรงหนัง ใครไม่ยืนตอนเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ก็ช่างมัน ไม่ต้องหงุดหงิด เพลงความยาวไม่ถึง 2 นาที ใครทำไม่ได้ หรือไม่ทำ ก็เรื่องของมัน เราก็ยืนของเราไปตามปกติที่เคยทำกันมา แค่อย่ากลัวที่จะยืน”
2) สิ่งที่นายทิวาโพสต์นั้น ถูกต้อง สร้างสรรค์ และไม่ได้ยุยงปลุกปั่นให้ใครไปก้าวล่วงใคร เพียงแต่บอกหลักการและหลักใจของคนที่พร้อมจะยืนถวายความเคารพในโรงภาพยนตร์ ให้ยืนต่อไป ไปต้องหงุดหงิดกับใครที่ไม่ยืน
3) แต่ต่อมาข้อความนี้ ถูกแคปหน้าจอไปโพสต์ในเพจของ นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการนิตยสาร “ฟ้าเดียวกัน” โดยจงใจจะไม่พรางชื่อ ซึ่งนายทิวา ได้โพสต์ถึงเรื่องนี้ว่า “ทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการนิตยสารสีสัน พรีเซ็นเตอร์อย่ากลัวที่จะยืน (ในโรงหนัง) / นี่สะท้อนว่า นายธนาพล “จงใจ” ให้คนเพ่งเล็งที่ “ตัวบุคคล” อย่างเห็นได้ชัด มิได้ต้องการถกเถียงเพียง “ตัวประเด็น”
นายทิวา ได้โพสต์ถึงเรื่องนี้ว่า “หลังจากที่ผมโพสต์เรื่องการยืนในโรงหนังตอนเปิดเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ซึ่งบอกสำหรับคนที่อยากยืนก็ยืน แค่อย่ากลัว ก็มีเพื่อนไปพบคนใช้ชื่อ Thanapol Eawsakul แคปที่ผมโพสต์ไปวางไว้หน้าเฟซบุ๊คของเขา เข้าใจว่ามีใครสักคนที่ไม่ชอบผม แต่ยังมีสถานะเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คผมนี่แหละ แคปเอาไปให้ เพราะผมไม่ได้เปิดสาธารณะ
ไหนๆ ก็ไหนๆ หลังจากเข้าไปอ่านคอมเม้นท์แล้ว โอ!มากันล้นหลาม สนุกดี จึงนำมาให้อ่านกันบางส่วน ตามบรรทัดถัดๆ ไปข้างล่างนี้ เลือกเอาที่เน้นผมเป็นหลักคนอื่นจะได้ไม่เดือดร้อน และขอความกรุณา ใครไม่ชอบก็ไม่ต้องไปด่าเขาล่ะ
ศศิ ศรีสัตตบุตร-สลิ่มในกะลา, Chetawan Thuaprakhon ความเดิมตอนที่แล้ว ยังกระหายเลือดพวกอยากไปเลือกตั้ง (และเล่นเฟซบุ๊คไม่เป็นอยู่เลย), Mone Sawadsriจงอย่ากลัวที่จะเป็นทาส, Suwat Laemphromthepaต้องทำให้พวกนี้อาย ยิ่งกว่านั้นต้องทำให้โรงหนังเลิกเปิดเพลง,Taweezak Woraritrueangurai คนนั่งต่างหากที่ต้องกลัวโดนสลิ่มคลั่งทำร้าย สาดน้ำบ้าง ถีบเก้าอี้บ้าง ปาน้ำแข็งใส่บ้าง ฯลฯ มึงจะยืนก็เรื่องของมึงครับ มันไม่ได้แสดงความกล้าหาญห่านอะไรเลย
TK Phukhaotong เปลี่ยนไม่ได้แล้วคนพวกนี้รอเปลี่ยนรุ่นอย่างเดียว, Sira Nung Mak ทิวา, ไชยันต์,ไชยวัฒน์ ค้ำชู, วินทร์ฯ ผมเอาหนังสือของท่านๆ ไปปั่นโปรยเลี้ยงปลวกหมดแล้ว จะเหลือไว้ก็เเค่ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ที่ยังพออ่านซ้ำได้ เเม้จะหมดศรัทธาคนเขียนไปแล้วก็ตาม, Charuwan Khantom โถ่...ไอ้ทาสที่ปล่อยไม่ไป ให้หนังสือมันเจ๊งต่อไป, Krassawat Tete Makul ไม่มีใครห้าม เป็นบก. ที่ไร้สีสันในชีวิตจุง, ถ้ามันมีสมองคิดได้แบบนี้ตั้งแต่แรก สังคมก็จะสงบสุข คนอยุ่แบบเคารพไม่เบียดเบียนกันและกัน แต่พวกสร้างปัญหาคือพวกนี้แหละที่ชอบมาคุกคามคนอื่นก่อน หลายปีก่อนมีเพื่อนต่างชาติ (อาเซียน) มาดูหนังแล้วไม่เข้าใจว่าต้องยืน เกือบโดนรุมประชาทันต์จนมันไม่กล้าดู, Korkit Pond Saejiw พี่พูดได้ แต่คนตามพี่(หรือพี่เอง) จะไปหาเรื่องคนไม่ยืนมั้ยล่ะ, ชุติมา สุวรรณเพิ่มไม่มีใครสาดโค้กใส่คนยืนนะ เสียดาย
Nut Seree อะไรกันวะ เมื่อปีสองปีที่ผ่านมา คำพูดแบบนี้มันเป็นของคนที่ไม่อยากยืนไม่ใช่รึ โอ้วว โลกนี้มันช่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจริงๆนะ, Pong Songpongs รณรงค์ยืนกันครับ ยืนแล้วชูสามนิ้ว, Patipan Chantara ตามใจมึงจ้า,Tawin Meesook แต่ก่อนเห็นจะเดินไปเอาเรื่องหนิ ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่แล้วเหรอ 555555, Dutchanee ShaolinPerdklon ไปพัทยาไม่มีคนยืน ที่เวสเกตมีคนยืน 2/3 คนน่าจะเป็นนักเรียน นักเรียนสลิ่มยังมี, Ekkaphon Chaiprom
โบราณฉิบหาย ตามหัวหนังสือมัน, Chitchai Tanawattanakorn เจ้าของรางวัล สีสัน อวอร์ด สลิ่มอีกคน,Teeranun Chiangta ไม่เคยมีทาส ที่ไม่เลือกจะเป็นทาส, Goong Pathamaporn จงภูมิใจในความเป็นทาสของตัวเอง,Tob PJ
หลอกตัวเองว่าคนยังอยากยืน, Artid Sivahansaphan มันต้องใช้ความกล้าพอสมควรที่จะอยากเป็นทาส เพราะคนทั้งโลกไม่ได้อยากเป็นทาสแบบมึงไง
4) วันที่ 11 พ.ย. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 64
นักศึกษา วปอ. ได้ร่วมขับร้องเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน”โดยระบุว่า เสมือนตั้งปณิธานร่วมกันว่า “จะรัก สามัคคี และช่วยกันรักษาบ้านเมือง” และหลังจบเพลง นายกฯ กล่าวว่า ฟังอ่านเนื้อร้องแล้วคิดตามไป ในนั้นมีคำว่า “เคย”อยู่หลายตัว แต่วันนี้ต้องร่วมกันสร้างสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันให้เข้มแข็ง แข็งแรงที่สุด ไม่ว่าจะประเทศ ประชาชนทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องต้องมุ่งมั่นรักษาแผ่นดินนี้ไว้ ซึ่งเป็นแผ่นดินเดียวที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่า ประเทศไทยสามารถจะรักษาความเป็นอิสระไว้ได้ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ด้วยพระสติปัญญาพระมหากษัตริย์ในอดีต และประเทศไทยไม่มีความขัดแย้งใดๆ จวบจนถึงรัชกาลปัจจุบัน และสถาบันพระมหากษัตริย์ได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย ฉะนั้นทุกคนต้องนำมาขับเคลื่อน สืบสาน รักษา ต่อยอด ประเทศไทยจึงจะเข้มแข็ง
จากนั้นนายกฯ กล่าวบรรยายเรื่อง บทบาทของภาครัฐ เอกชน และการเมืองในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติว่า วันนี้เราทุกคนอยู่ภายในกฎหมายเดียวกัน นั่นคือความเท่าเทียมในเรื่องของโอกาส กฎหมาย ความเป็นธรรม และต้องดูแลผู้มีรายได้น้อยไปด้วย เราต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เรามีสิ่งที่ดีๆ อยู่แล้ว ในเรื่องของประชาธิปไตย และวันนี้เราต้องพัฒนาความก้าวหน้าของประเทศและประชาคมโลกที่มากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย นำไปสู่ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งปัจจุบันต้องมีความระมัดระวัง เพราะเรากำลังเผชิญภัยคุกคามใหม่ๆ ที่มีหลายมิติเราต้องป้องกันที่เรียกว่า “ความมั่นคงแบบองค์รวม”และรัฐบาลได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อยกระดับการพัฒนาให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ และต้องพัฒนาให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น โดยที่ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านกลไก “ประชารัฐ” น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และพระราโชบาย สืบสาน รักษา ต่อยอด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 มาปฏิบัติและร่วมกันรักษาแผ่นดินไทยนี้ไว้ตลอดไป
นายกฯ กล่าวว่า เราต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างทางความคิด การปฏิบัติให้เป็นคนเก่ง คนดี มีวินัย ยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม เคารพกฎหมาย มีกระบวนการคิดถึงเหตุและผล ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานในช่วงท้ายนายกฯ กล่าวว่า เรื่องการยืนในโรงฉายหนัง เป็นห่วงคนที่อยากยืนแต่ไม่กล้ายืนจึงอยากขอทุกคนมีความกล้าหาญจะยืน เป็นเรื่องที่ทุกคนคงเข้าใจ ไม่ใช่บังคับกัน
5) พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถูกแล้ว เรื่อง “ไม่บังคับกัน”เรื่องนี้นั้น หากย้อนกลับในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรือหลวงพิบูลสงคราม เป็นนายทหารและนักการเมือง สมัยนั้นมีการกำหนดวัฒนธรรมให้มีรูปแบบเดียวกันในลักษณะ “ไทยเดียว” หรือ เรียกยุค “ปฏิวัติวัฒนธรรม” โดยในช่วงนั้นมี พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 ออกมา โดยมาตรา 6 บัญญัติว่า วัฒนธรรมซึ่งบุคคลจักต้องปฏิบัติตาม นอกจากจะได้กำหนดไว้โดยพระราชบัญญัติแล้ว ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาได้ในกรณีดังต่อไปนี้
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการแต่งกาย จรรยาและมารยาทในที่สาธารณสถานหรือที่ปรากฏแก่สาธารณชน, ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการปฏิบัติตนและการปฏิบัติต่อบ้านเรือน, ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการประพฤติตนอันเป็นทางนำมาซึ่งเกียรติของชาติไทยและพระพุทธศาสนา, ความมีสมรรถภาพและมารยาทเกี่ยวกับวิธีดำเนินงานอาชีพ, ความเจริญงอกงามแห่งจิตใจและศีลธรรมของประชาชน, ความเจริญก้าวหน้าในทางวรรณกรรมและศิลปกรรม และความนิยมไทย
มาตรา 15 ผู้ใดฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 6 มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาทหรือจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือทั้งปรับทั้งจำ (มาตรา15 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2486
ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 ประกาศออกมาบังคับใช้ซึ่งในมาตรา 6 บัญญัติว่า
• บุคคลทุกคนจักต้องเคารพตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณี คือ เคารพธงชาติขณะที่ชักขึ้นและลงประจำวันพร้อมกัน ตามเวลาประกาศของทางราชการ
• เคารพธงชาติ ธงไชยเฉลิมพล ธงเรือรบ ธงประจำกองยุวชนทหาร หรือธงประจำกองลูกเสือ เมื่อชักขึ้นหรือลงประจำสถานที่ราชการ เมื่อเชิญมาตามทางราชการ หรืออยู่กับที่ประจำแถวหรือหน่วยทหาร ยุวชนทหาร หรือลูกเสือ
• เคารพเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงเคารพอื่นๆ ซึ่งบรรเลงในงานตามทางราชการ ในงานสังคม หรือในโรงมหรสพ
ต่อมาในพ.ศ. 2553 รัฐสภาได้ปรับปรุงกฎหมาย และได้ประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 โดยเนื้อหาในความสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้มีใจความว่า มาตรา 3 ให้ยกเลิก พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2485 , พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2486 , พระราชบัญญัติเครื่องแบบกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2486 , พระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2522 และ พระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 โดยให้ใช้พระราชบัญญัติใหม่นี้แทน
สิ่งที่น่าสนใจในพระราชบัญญัตินี้ คือ “ไม่กำหนดโทษ”สำหรับผู้ฝ่าฝืนการไม่ยืนตรงเคารพเพลงสำคัญ เช่น เพลงชาติหรือเพลงสรรเสริญพระบารมี ดังนั้น เมื่อกฎหมายแม่อย่างพระราชบัญญัติฯ 2485 ได้สิ้นสภาพลง กฎหมายลูกอย่าง พ.ร.ฎ. 2485 ก็ต้องสิ้นสภาพลงไปด้วย
ดังนั้น ทุกวันนี้ การไม่ยืนตรงเคารพเพลงชาติและไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี จึงไม่มีความผิดในทางกฎหมายแต่อย่างใด
6) กระนั้นก็ตาม ความรัก ความเคารพ เป็นเรื่องของ “วัฒนธรรมสังคม” บวกกับ “จิตสำนึกส่วนบุคคล” ที่ได้รับการปลูกฝังกันมา รวมถึงยังเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกด้วย ในห้วงเวลาที่เรามิได้เอา “สถาบัน” มาเป็นเงื่อนไขแบ่งแยกเพื่อเอาชนะคะคานกันการยืนถวายความเคารพในโรงภาพยนตร์เป็นเรื่อง“ปกติวิสัย” เป็นเรื่อง “ดีต่อใจ” และโรงภาพยนตร์ก็มักแข่งกันสร้างสรรค์ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ด้วยการเรียบเรียงเสียงประสาน ทำดนตรีที่ไพเราะ มีภาพประกอบ“เพลงสรรเสริญพระบารมี” ที่จับตาจับใจ เป็น“ช่วงเวลาแห่งความสุข” หนึ่งของคนส่วนใหญ่
7) บัดนี้ การแสดงออกซึ่งความรักความเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นเรื่อง “หมางใจกัน” พร้อมที่จะเสียดสีเยาะเย้ย พวกหนึ่งยืนเพื่อบอกว่ารัก และ “ยืนให้อีกพวกมันดู” อีกพวกก็ “ไม่ยืน” เพื่อจะ “ชนะ” อะไรบางอย่างตามปมในใจ และกลายเป็นว่า จะนั่งหรือจะยืนต้องใช้ “ความกล้าหาญ” กันไปแล้ว
8) ถ้าจะว่ากันตามหลักการประชาธิปไตยและข้อกฎหมายแล้ว ไม่ยืนนั้นไม่ผิด ยืนก็ไม่ผิด เป็นเรื่องของ “อัธยาศัยในการแสดงออก” แต่สังคมปัจจุบัน เราขาด “ความเคารพ” ต่ออัธยาศัยของกันและกันไปมาก พวกหนึ่งหมกมุ่นกับวลี “คนเท่ากัน” พวกหนึ่งใช้ไม้บรรทัด “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เป็นมาตรวัดความเป็น “พลเมืองดี”และเกิดภาวะ “เอาชนะ” กัน
9) ในภาวะนั้น ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม “สถาบัน”ได้ถูกดึงลงมาเป็น “เงื่อนไข” เป็นสิ่งที่ถูก “ฉีกทึ้ง” ย่ำยี ทั้งด้วยความรักและความไม่รัก เนื่องจากทั้งสองฝั่ง เกิดการ “ชักเย่อ” กัน โดยใช้สถาบันเป็นดั่งเส้นเชือก ที่ความเสี่ยงคือ รอวันจะขาดผึง
10) มีผู้เสนอว่า ควรยกเลิกการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ไปเลยดีไหมเรื่องนี้มองได้หลายมุม
1.มองในมุมนักเสรีประชาธิปไตย ที่มี “วุฒิภาวะทางอารมณ์”เสถียร ก็จะบอกว่า การเปิดก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใดๆใครใคร่นั่งก็นั่ง ใครใคร่ยืนก็ยืน ด้านหนึ่งก็แสดง “ตัวตน”ของเรา ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ “ชีวิตประเทศ” ส่วนการจะไม่เปิดก็ไม่เป็นอะไรอีกเช่นกันแล้วแต่สังคมจะวางแนวปฏิบัติ
2.มองในมุมของคนไมเอาสถาบัน ก็คงอยากให้ยกเลิกเพราะใจของเขา “ไม่มี” สิ่งนี้อยู่ในความรัก ความเคารพเทิดทูนอยู่แล้ว และบางคนที่วุฒิภาวะน้อยหน่อย สองนาทีกว่าๆ นี้ก็เป็นช่วง “โชว์” ความรู้สึก เป็นช่วง “บำบัดใจ” ยิ่งมีกลุ่มคนที่ถูกนิยามว่าเป็น “สลิ่ม” อยู่ร่วมโรงด้วยแล้ว ยิ่งแทบจะ “หลั่ง” ในการแสดงออก “ให้สลิ่มมันดู”
3.เช่นกันกับคนรักสถาบัน ที่ต้องการใช้ช่วงเวลาดังกล่าว “ทำให้ดูว่ากูรัก” ทั้งยืน ทั้งเปล่งเสียงร้องกันไปตามอัธยาศัย ถ้าใจสงบดี สุขดี ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำด้วยความร้อนรุ่ม ก็ไม่น่าจะดีนัก
4.หากไม่มีเพลงสรรเสริญพระบารมี เงื่อนไข “เอาชนะ 2 นาที” ก็จบลง สถาบันไม่ต้องเป็น “เส้นเชือก”ให้ “ชักเย่อกัน” โดยคน 2 ขั้ว และทำให้คน “ไม่มีขั้ว” ต้องพลอยร่วมอยู่ในบรรยากาศขัดแย้ง/ไม่เคารพกันนั้น
5.หากมีต่อไป ด้านดีก็คือ รักษาไว้ซึ่งธรรมเนียมที่คนไทยจำนวนมากยังพึงพอใจ รัก และหวงแหน เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการย้ำเตือน สื่อสาร ถึงพระราชกรณียกิจ ถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ใครจะซึ้งหรือไม่ซึ้งก็ไม่ใช่ปัญหา
จึงไม่มีคำตอบสำเร็จรูปว่า ควรยกเลิกหรือควรรักษาไว้อยู่ที่ว่าสังคมจะกลับคืนสู่ความมีสติ มีเหตุผล และ “เคารพ” การแสดงออกของกันและกันมากเพียงใดต่างหาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี