การควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคนั้น ถ้าหากไม่คิดอะไรมากมายนัก อาจเป็นเพราะว่าคิดไม่เป็น ไม่อยากคิดหรือคิดถึงไม่ ก็คงจะอ้างได้ว่ามันเป็นแค่การร่วมมือทางธุรกิจของนายทุนสองกลุ่ม ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติที่นายทุนจะทำความตกลงร่วมกันเพื่อแบ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่างกัน
แต่หากคิดให้ลึกแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะธรรมดา เพราะมันเข้าข่ายการสมยอมทางธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งการสมยอมเช่นนี้ทำให้ประชาชนที่เป็นผู้บริโภคไม่สามารถมีทางเลือกในการใช้บริการได้มากมายนัก ครั้นจะบอกว่าเข้าข่ายมัดมือชกผู้บริโภคก็อาจจะพูดแบบนั้นได้ไม่เต็มปากมากนัก แม้หลายคนอาจจะคิดทำนองนั้นก็ตาม
การรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้ ทำให้หลายคนจับตามองว่าภาครัฐของไทยมีความรู้สึกรู้สมอะไรกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่ และมากน้อยเพียงใดโดยเฉพาะหน่วยงานหนึ่งที่ชื่อ กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) กำลังถูกสาธารณชนวิพากษ์ว่าทำหน้าที่ของตนเองได้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน บางคนวิพากษ์หนักไปถึงขั้น หากปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยง่ายดายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมี กสทช. ให้เสียเงินงบประมาณแผ่นดินอีกต่อไป เพราะเปล่าประโยชน์ หาคุณค่าใดๆ ไม่ได้แม้แต่น้อย
หลายคนที่ติดตามเรื่องนี้ใกล้ชิดวิพากษ์ว่า การที่สองบริษัทสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ง่ายดายก็เพราะ กสทช. ไม่มีน้ำยา และยังเปิดช่องให้มีการกระทำแบบนี้ได้อีก โดยเฉพาะประเด็นการโอนคลื่นความถี่ให้กันและกันได้โดยง่ายดาย ซึ่งที่ผ่านมา เราทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า กสทช. มีน้ำยาในการทำงานมากน้อยแค่ไหน กับการบริหารจัดการทีวีดิจิทัลซึ่งมีการโอนคลื่นกันเละเทะไปแล้ว หลังจาก กสทช. ตะบี้ตะบันปล่อยให้มีทีวีดิจิทัลเต็มบ้านเต็มเมือง แต่สุดท้ายก็เหลวเละไม่เป็นท่าดังที่ทุกคนได้เห็นกันชัดๆ ไปแล้ว มาล่าสุดก็ปล่อยให้มีการโอนคลื่นความถี่ของระบบโทรคมนาคมได้อีก
อันที่จริง คนไทยที่มีปัญญาต่างรู้ดีมาโดยตลอดว่าธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศไทยนั้นอยู่ในสภาพเสมือนผูกขาดมาโดยตลอด ถึงแม้จะมี operator ให้บริการอยู่ 2-3 รายก็ตาม แต่ก็พบว่ายังอยู่ในสภาพไม่ต่างจากการถูกผูกขาดมากนัก ดังนั้นเมื่อมีข่าวทรูกับดีแทคจะรวมกิจการเข้าด้วยกัน ก็จึงเท่ากับประกาศให้สาธารณชนรู้ว่านี่คือการควบรวมกิจการ
ถามว่า การกระทำเช่นนี้ใครได้ใครเสีย คำตอบคือคนได้ก็คือผู้ประกอบการที่อยู่ในสภาพเสมือนผูกขาดธุรกิจนี้อยู่ในกำมือมาโดยตลอด ส่วนคนเสียก็คือประชาชน ผู้บริโภคที่ต้องตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบตลอดปีตลอดชาติ ถามว่าทุกวันนี้มีประชาชนกี่คนที่ไม่ต้องใช้ระบบโทรศัพท์มือถือและไม่ต้องใช้อินเตอร์เนตบ้าง นี่คือกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด
ในขณะที่คนทั่วโลกกำลังพูดถึง 5G และ 6Gแบบเสรีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คนไทยกลับต้องมาพูดถึง 5 และ6 G ที่อาจจะถูกผูกขาดในกำมือของนายทุนเพียง 1-2 รายเท่านั้น เมื่อมีผู้แข่งขันให้บริการน้อยราย รัฐก็ไม่ต้องหวังจะเก็บภาษีจากผู้ประกอบการได้มากมาย แต่ทว่าคนที่ต้องแบบรับภาระคือผู้บริโภค เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลเพ้อว่าประเทศไทยจะเป็น digital economy จึงดูจะห่างไกลออกไปอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี