พลันที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) โพสต์ข้อความว่า
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นองค์กรที่รณรงค์ในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนโดยไม่ฝักใฝ่อุดมการณ์ทางการเมือง หรือลัทธิใดๆ เน้นทำงานเกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น เนื่องจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีพันธกิจเพียงเพื่อให้สังคมเกิดการตระหนักถึงสิทธิมนุษยชน”
นายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย ก็สวนกลับมาว่า “ขอบอกว่าอย่าตอแหลเลย เพราะการกระทำที่พวกคุณทำยุยงส่งเสริมฝ่ายที่ไม่เห็นดีกับรัฐบาลที่คอยปกป้องสถาบันฯจะให้การสนับสนุนทั้งทุนทรัพย์ และบุคลากรทางปรัชญา วันนี้พวกเราอดีตหมู่บ้านเสื้อแดงทั่วประเทศจะถอดหน้ากากชาวต่างชาติ ที่อยู่เบื้องหลัง คอยฝังตัวเองอยู่ตามชนบท โดยเฉพาะภาคอีสานที่ปลุกปั่นให้เกลียดชังเจ้าหรือล้มล้างสถาบันฯ โดยแฝงตัวเป็นอาจารย์สอนพิเศษตามมหาวิทยาลัยดังๆบางคนชักจูงนักเรียน และนักศึกษา ออกไปรณรงค์ให้ประชาชนชาวรากหญ้าเกลียดชังสถาบันฯ พวกคุณหลอกอาจารย์มหา’ลัย หลอกนักเรียน นักศึกษาบางคนได้ แต่หลอกพวกเราประชาชนที่เป็นนักสู้เรียกร้องเพื่อปากท้องของประชาชนอย่างแท้จริง อย่าให้พวกเราที่ออกมาพูดไปมากกว่านี้เลย”
ขณะที่ นางนิตยา นาโล หรือ “นักสู้ปอสี่” อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสาน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มแอมเนสตี้ได้ร่วมกับทางอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกไปล่ารายชื่อ 1 แสนคน ซึ่งไปพบพวกเราด้วย เพื่อจะขอยกเลิก ม.112 ตั้งแต่ปีพ.ศ.2553-2554 ตอนที่ไปหาพวกเราก็จะโกหก บอกว่าจะเอารายชื่อไปสนับสนุนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้พวกเราหลงเชื่อและถูกประชาชนชาวไทยหลายคน ประณามเข้าใจผิดว่าพวกเราคือ “หมู่บ้านเสื้อแดงล้มเจ้าล้มพระเจ้าแผ่นดิน”
แอมเนสตี้ จะเถียง 2 คนนี้ว่าอย่างไร?
1) โดยพฤติกรรมและการเคลื่อนไหว แอมเนสตี้คือ “กลุ่มการเมืองเลือกข้าง” ที่ทั้งก้าวก่าย แทรกแซง ล่วงละเมิด และยุยงปลุกปั่น อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ แถลงการณ์นี้ครับ
ครบรอบ 20 ปีที่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) มีแคมเปญรณรงค์ “Write for Rights” หรือ “เขียน เปลี่ยน โลก” เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกละเมิดทั่วโลกผ่านการเขียนจดหมายถึงพวกเขา โดยมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้ผู้ถูกละเมิดและครอบครัวของพวกเขารู้สึกว่ากำลังเผชิญอยู่กับการต่อสู้เพียงลำพัง นอกจากนี้ยังสามารถเขียนจดหมายถึงผู้มีอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและนำมาสู่ความยุติธรรม และเพื่อเป็นการสื่อสารไปทั่วโลกว่า ประชาชนทุกคนพร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจโดยมิชอบไม่ว่าการใช้อำนาจนั้นจะเกิดที่ใดบนโลกก็ตาม
โดยในเนื้อความบอกว่า
“กรณีของ รุ้ง-ปนัสยา ในฐานะของแกนนำการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย เธออาจถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ
โดยประเด็นหลักคือ การคัดค้านการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 เริ่มต้นจากการปราศรัยข้อเรียกร้องเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 โดยที่ผ่านมา เธอต้องเผชิญกับการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากเจ้าหน้าที่รัฐหลายครั้งด้วยกัน
มีนาคม 2564 เธอถูกตัดสินจำคุกโดยไม่ได้รับการประกันตัวเป็นเวลา 60 วัน ตามความผิดมาตรา 112 เธออดอาหารประท้วงเป็นเวลา 38 วัน เพื่อประท้วงต่อกระบวนการที่ไม่ยุติธรรมตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม-7 เมษายน 2563 ท่ามกลางความห่วงกังวลของประชาชนที่ต่อสู้อยู่ภายนอก และได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 30 เมษายน 2563
จากนั้นเธอถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าจับกุมอีกครั้งในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 หลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เธอถูกจองจำเป็นเวลากว่า 16 วัน ผมถูกตัดสั้นและย้อมสีดำ การถูกคุมขังสร้างบาดแผลในจิตใจให้กับเธอ รวมถึงทำให้เธอติดเชื้อโควิด-19 จากสภาพการคุมขังที่แออัดในเรือนจำอีกด้วย แต่เธอยังคงยืนหยัด
...ครั้งล่าสุด 15 พฤศจิกายน 2564 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ตัดสินไม่ให้ประกันตัวเธอ กรณีโพสต์เชิญชวนใส่ครอปท็อปเดินห้างสรรพสินค้า ระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคม 2563 ทำให้ถูกคุมขังอีกครั้ง ทั้งยังต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาอีกมากมายที่ตัดสินว่าเธอมีความผิด
...สำหรับการรณรงค์ผ่านกิจกรรม “Write for Rights” รุ้ง-ปนัสยา ฝากข้อความถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลกว่า
“ถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ฉันชื่อ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ฉันมาจากประเทศไทย เพื่อนและครอบครัวเรียกฉันว่า “รุ้ง” ซึ่งหมายถึง “สายรุ้งหรือรุ้งกินน้ำ”แม้ฉันจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบ แต่ฉันมักตั้งคำถามกับความอยุติธรรมในสังคมไทย ฉันมีบทบาททางการเมืองในขณะที่กำลังศึกษาอยู่ ฉันเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง และในปี 2563 ฉันเป็นแกนนำการชุมนุมในการเรียกร้องความเสมอภาค เสรีภาพในการแสดงออก และการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในประเทศไทย
“ฉันอาจถูกจำคุกตลอดชีวิตเพียงเพราะใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสังคมในประเทศของฉัน บอกรัฐบาลไทยให้ยุติการดำเนินคดีและข้อกล่าวหาทั้งหมดที่มีต่อฉัน
“เจ้าหน้าที่มักตราหน้าว่าฉันเป็นศัตรูของรัฐ เป็นผู้ก่อความวุ่นวายในประเทศ ซึ่งทำให้ฉันถูกจับกุมและถูกควบคุมตัว หลายคนในประเทศที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมมักจะถูกจำคุก เมื่อคุณก้าวเข้าไปในคุก คุณจะรู้สึกว่าความเป็นมนุษย์ได้สลายหายไป ในระหว่างที่ถูกจำคุก ฉันถูกปฏิเสธการประกันตัวถึง 6 ครั้ง และถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 ฉันไม่สยบยอมต่อการกระทำดังกล่าวของทางการไทยฉันจึงอดอาหารประท้วงเป็นเวลา 38 วัน และได้รับการปล่อยตัวในเดือนเมษายน 2564 อย่างไรก็ตาม ฉันต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาอีกหลายสิบข้อ และหากพบว่ามีความผิดฉันอาจถูกจำคุกตลอดชีวิต
“ความช่วยเหลือของพวกคุณทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ด้วยแคมเปญ เขียน เปลี่ยน โลก หรือ Write for Rights ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเรียกร้องให้ทางการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนอย่างฉันเป็นอิสระ ข้อความของพวกคุณมีพลังมาก และด้วยขบวนการสิทธิมนุษยชนกว่า 10 ล้านคน คุณช่วยให้ฉันมีอิสรภาพได้ร่วมกันต่อสู้กับความอยุติธรรมด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญ เขียน เปลี่ยน โลก ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในปีนี้”
2) แถลงการณ์ทั้งหมด มุ่งสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นลบต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยไม่อธิบาย “ความจริง”อย่างตรงไปตรงมา เขียนในเชิง “ดราม่า” มากกว่าในเชิงให้รายละเอียดที่ซื่อตรง ยกตัวอย่างเช่น
2.1 เธออาจถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ
เป็นการ “มโน” ล่วงหน้า เพื่อใส่ไคล้กระบวนการยุติธรรมว่า มีธงที่จะให้รุ่งติดคุกตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่กระบวนการยุติธรรมเปิดโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้ หากบริสุทธิ์จริง
ไยต้องมาแต่งบทละครลวงโลกแบบนี้ ไยแอมเนสตี้ไม่เก็บพยานหลักฐานและเข้าร่วมในฝ่ายจำเลยเพื่อยืนยันว่า รุ้งเป็นผู้บริสุทธิ์ กระทำการทุกอย่างภายใต้กฎหมาย
รุ้งมีคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีที่ว่ากันตามจริง คือการ “คุ้มครองสิทธิมนุษยชน” และ “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์” มิให้ถูก ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ซึ่งควรเป็น” สำนึกและสันดาน” โดยตรงขององค์กรที่อ้างว่า “เน้นทำงานเกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนทั่วไป” เว้นเสียแต่จะ “ตอแหล” อย่างที่อานนท์ แสนน่าน ว่าไว้
ด้วยหลักการนี้ แอมเนสตี้ฯ ควรรณรงค์ว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่สร้าง “ความเท่าเทียม” และปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เหมือนที่ประชาชนทั่วไปมีกฎหมายหมิ่นประมาทคุ้มครอง ประมุขหรือผู้แทนรัฐอื่น ประเทศไทยก็มีกฎหมายคุ้มครอง เช่นเดียวกับ ม.112 ก็เป็นการคุ้มครอง “ประมุขแห่งรัฐ” เหมือนที่นานาประเทศมีกฎหมายในลักษณะนี้ ดังนั้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการแสดงความคิดเห็นใดๆ ควรอยู่ภายใต้กฎหมายที่เท่าเทียมกันนี้และโดยหลักแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว เราไม่ควรดูหมิ่นหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย หรือใส่ความใคร ในอันที่จะก่อความเสียหายให้แก่เขา นักประชาธิปไตยที่ดีควรมีสันดานเช่นนั้น
รุ้งจึงอาจติดคุกตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะ “ใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ” แต่เพราะ “ละเมิด”ผู้อื่น อันเป็นความผิดทางอาญา และอยู่ในหมวด“ความมั่นคงแห่งรัฐ”
2.2 “เธอถูกตัดสินจำคุกโดยไม่ได้รับการประกันตัวเป็นเวลา 60 วัน ตามความผิดมาตรา 112 เธออดอาหารประท้วงเป็นเวลา 38 วัน” ก็เป็นถ้อยคำ “บิดเบือน” ของแอมเนสตี้ เพราะรุ้งยังไม่เคยถูก “ตัดสินจำคุก ตามความผิดมาตรา 112” การถูกจำคุกเป็นการ “ควบคุมตัวระหว่างพิจารณาคดี” ที่เข้าองค์ประกอบตาม มาตรา มาตรา ๑๐๘/๑ การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อ มีเหตุอันควรเชื่อ เหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้(๑) ผู้ต้องหา หรือ จำเลย จะหลบหนี (๒) ผู้ต้องหา หรือจำเลย จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (๓) ผู้ต้องหา หรือจำเลย จะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (๔) ผู้ร้องขอประกัน หรือ หลักประกัน ไม่น่าเชื่อถือ (๕) การปล่อยชั่วคราว จะเป็นอุปสรรค หรือ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน ของเจ้าพนักงาน หรือ การดำเนินคดีในศาล คำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว ต้องแสดงเหตุผล และ ต้องแจ้งเหตุดังกล่าว ให้ผู้ต้องหา หรือ จำเลย และผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวทราบ เป็นหนังสือ โดยเร็ว
และรุ้งไม่ใช่ไม่เคยได้รับการปล่อยตัว เคย แต่ทำผิดเงื่อนไข จึงถูกควบคุมตัวใหม่และถูกคัดค้านการปล่อยตัวอีก
2.3 “ผมถูกตัดสั้นและย้อมสีดำ การถูกคุมขังสร้างบาดแผลในจิตใจให้กับเธอ รวมถึงทำให้เธอติดเชื้อโควิด-19 จากสภาพการคุมขังที่แออัดในเรือนจำอีกด้วย” คุกไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ที่อยู่อันสุขเกษม แต่มีเหตุให้ต้องอยู่ และเมื่ออยู่ ราชทัณฑ์ก็มีระเบียบปฏิบัติให้ต้องทำตาม ส่วนการติดเชื้อโควิด คนอยู่นอกคุกก็ติด เพราะมันเป็นช่วงการระบาดทั่วโลก จะใส่มาเพื่อให้ดราม่าทำไม?
2.4 “ศาลอาญากรุงเทพใต้ ตัดสินไม่ให้ประกันตัวเธอ กรณีโพสต์เชิญชวนใส่ครอปท็อปเดินห้างสรรพสินค้า” นี่คือ “ความตอแหล” ที่ประจักษ์ชัดที่สุดของแอมเนสตี้
ลำพังใส่ครอปท็อป ตำรวจจะจับด้วยข้อหาอะไร? ปัญหามันอยู่ที่ “ข้อความ” ที่เขียนบนร่างกาย และ “พฤติการณ์”ที่แสดงออกต่างหากเล่า
3) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังเคยแถลงหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน ของนักกิจกรรม 3 คน ที่เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวระหว่างการชุมนุมเมื่อปี 2563 เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดย เอ็มเมอร์ลีน จิล รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่าแม้คำวินิจฉัยนี้จะไม่มีบทลงโทษหรือค่าปรับ แต่มีผลกระทบเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับประชาชนชาวไทยหลายหมื่นคนที่แสดงความเห็นหรือวิจารณ์อย่างชอบธรรมต่อบุคคลสาธารณะหรือสถาบัน ทั้งโดยการแสดงความเห็นทางตรงหรือแสดงความเห็นทางออนไลน์ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีข้อหาร้ายแรงต่อแกนนำทั้งสามคนและบุคคลอื่นๆ อีกมาก โดยฐานความผิดล้มล้างการปกครองนี้ มีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษประหารชีวิต
“ถ้าคำวินิจฉัยนี้มีเจตนาเพื่อทำให้ประชาชนหวาดกลัว และขัดขวางพวกเขาจากการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ผลที่ออกมาจะตรงกันข้าม ดังที่เห็นจากการติดแฮชแท็กอย่างกว้างขวาง การส่งทวีต และข้อความทางโซเชียลมีเดียมากมายทันทีหลังศาลมีคำวินิจฉัย ประชาชนชาวไทยกว่า 200,000 คนได้ลงนามในจดหมายเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ ในประมวลกฎหมายอาญาของไทย”
“คำวินิจฉัยนี้ ฉายเงามืดหม่นทาบทับประเทศไทยที่เริ่มเปิดพรมแดนต้อนรับนักท่องเที่ยวจากนานาชาติ นับเป็นเรื่องน่ากังขาในเจตนาของรัฐบาลไทยที่แสดงท่าทีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาพักผ่อนในประเทศ แต่กลับจำกัดและกดขี่สิทธิของคนไทยเอง”
จะเรียกว่า แอมเนสตี้ “โง่เขลาเบาปัญญา” หรือ “ตอแหล” ดีล่ะ ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญแจกแจงหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพชัดมาก ว่ามีอยู่ แต่จะอยู่เหนือกฎหมาย ทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นมิได้ และข้อเรียกร้อง 10 ประการนั้น มีผลเปลี่ยนแปลง “พระราชสถานะ” ของ ประมุขแห่งรัฐ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ และส่งผลให้ลักษณะการปกครองเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจ หากผู้คนบนแผ่นดินนี้ไม่อาจทนกับ “ความตอแหล” ที่เกิดขึ้นจากองค์กรนี้ได้อีกต่อไป!!!
“...กำลังให้มีการดำเนินการและให้ตรวจสอบทางกฎหมายอยู่ว่ามีความผิดอะไรหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยที่มีการจดทะเบียนไว้หรือไม่อย่างไร ถ้าผิดก็ต้องยกเลิก ยอมรับว่าเป็นแรงกดดันพอสมควรซึ่งตนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว ในการที่จะมาให้ร้ายกับประเทศของเรา
...นอกจากนี้ในเรื่องของเอ็นจีโอก็กำลังดำเนินการทางกฎหมาย ในการที่จะทำให้เหมือนกับต่างประเทศโดยจะต้องมีการขึ้นทะเบียนควบคุม แจ้งที่มาของแหล่งเงินต่างๆ ขณะนี้กฎหมายอยู่ระหว่างเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาพอสมควร โดยเฉพาะกฎหมายต่างๆ บางครั้งก็ต้องปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้กฎหมายไม่ได้มีการปรับปรุง แต่วันนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายหลาย 1,000 ฉบับ อยู่ในคิวลำดับที่ต้องแก้ไขทั้งหมดให้สอดคล้องกับปัจจุบัน” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี