การที่พรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลผสมส่งผู้สมัครลงแข่งขันชิงตำแหน่ง สส. ที่ว่างลงของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันโดยมารยาททางการเมืองเขาไม่ทำกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สส.ที่ถูกศาลสั่งให้พ้นจากหน้าที่ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุจากความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด แต่พวกเขาพ้นจากหน้าที่เพราะการทำเพื่อชาติบ้านเมือง ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เป็นแกนนำการประท้วงรัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการเสียงข้างมากในสภาออกกฎหมายนิรโทษสุดซอย ซึ่งมีเป้าหมายล้างผิดให้คนในตระกูลเดียวกันได้กลับมามีอำนาจ โกงชาติปล้นแผ่นดินหมิ่นสถาบันได้อีกครา
แน่นอนการประท้วงของมวลมหาประชาชนหลายล้านคนในห้วงเวลา 204 วัน ต้องมีแรงกดดันดื้อรั้นและตอบโต้จากรัฐบาลโกงชาติปล้นแผ่นดินซึ่งทำให้พวกเขา(อดีต สส.) ในฐานะแกนนำถูกบีบคั้นให้บุกรุกสถานที่ราชการและละเมิดกฎหมายไปบ้าง เนื่องจากว่ากลุ่มคนร้ายที่รับใช้รัฐบาลในเวลานั้น ลอบวางระเบิดลอบฆ่าลอบทำร้ายประชาชนที่ร่วมประท้วงตายไป 28 คนและได้รับบาดเจ็บไปหลายร้อยคน
แกนนำ กปปส. จึงจำเป็นต้องนำมวลชนบุกไปเรียกร้องกดดันถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติและดีเอสไอตลอดถึงสถานที่ราชการและบ้านพักนายกรัฐมนตรี
ซึ่งในเวลานั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกก็เห็นด้วยกับการประท้วงของมวลมหาประชาชน และพยายามป้องกันมิให้กลุ่มคนร้ายซึ่งเป็นมือเป็นไม้ของรัฐบาลบุกเข้าไปทำร้ายผู้ประท้วงอย่างสงบสันติ โดยที่ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้ตั้งด่านทหารขึ้นมาถึง 76 แห่ง จน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีที่ให้ท้ายคนร้ายบ่นกับผู้สื่อข่าวว่า “การตั้งด่านทหารสีเขียวทั่วเมืองทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ”
และพลเอกประยุทธ์ ก็พูดประชดว่า “จะให้ตั้งด่านสีชมพูหรือไง?”
ท่าทีของพลเอกประยุทธ์เป็นที่ประจักษ์ว่าเห็นด้วยกับการประท้วงรัฐบาลโกงชาติปล้นแผ่นดิน และไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่กลั่นแกล้งแจ้งข้อหาใส่ร้าย กปปส. ดังนั้นหลังจากยึดอำนาจพลเอกประยุทธ์ก็จัดการดำเนินคดีกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอในทันที
ท่าทีของพลเอกประยุทธ์ แสดงออกถึงความเข้าใจและเห็นใจ กปปส. ตลอดเวลาของการชุมนุมประท้วงของมวลมหาประชาชน เมื่อแกนนำ กปปส. พลั้งเผลอผิดกฎหมายบางมาตราหรือบกพร่องโดยสุจริต พลเอกประยุทธ์จึงเห็นใจ และมีรายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์ได้ตกลงกับหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่ามิควรส่งผู้สมัครลงแข่งขันกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะอดีต สส. ปชป. ถูกศาลตัดสินให้พ้นจากหน้าที่ในความผิดที่กระทำโดยสุจริตเพื่อชาติ และ ปชป.ได้แสดงมารยาททางการเมืองโดยไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งกับพรรคร่วมรัฐบาลในเขต 9 กทม. ทั้งๆ ที่อดีต สส. พปชร. ผู้นั้นถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากหน้าที่เพราะเคยติดคุกคดีฉ้อโกงถึงที่สุดจึงไม่มีสิทธิลงสมัคร สส. ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 และอาจทำให้หัวหน้าพรรคซวยไปด้วยเพราะเป็นผู้ลงนามรับรองความถูกต้องให้อดีต สส. คนนั้นลงสมัครอย่างผิดกฎหมาย
ในเบื้องต้นหัวหน้าพรรค พปชร. ก็เห็นด้วยกับพลเอกประยุทธ์และประกาศอย่างชายชาติทหารว่า “เมื่อผมพูดว่าไม่ส่งผู้สมัคร สส. ชุมพร เป็นอันสิ้นสุด..” แต่สองวันต่อมาเลขาธิการพรรค พปชร. ซึ่งถูกพลเอกประยุทธ์ปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของหัวหน้าพรรค พปชร. เพราะหัวหน้าพรรคสามารถใช้ให้คนทำงานใต้ดินบนดินได้หลายคน”
หลังจากเลขาธิการพรรคให้สัมภาษณ์ว่าหัวหน้ามีศักยภาพให้คนทำงานใต้ดินบนดินได้หลายคน หัวหน้าพรรค พปชร. ก็กลืนน้ำลายตัวเองส่งผู้สมัคร สส. ลงแข่ง
ในตำแหน่งที่ว่างลงของอดีต สส.ปชป. ทุกพื้นที่ด้วยคำพูดง่ายๆ ว่า “เป็นประชาธิปไตย” ทำไปโดยไม่เห็นหัวพลเอกประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาลแม้แต่น้อย
และศักยภาพของหัวหน้าพรรคที่สามารถสั่งให้คนทำงานใต้ดินบนดินได้หลายคนก็ประจักษ์ชัดที่จังหวัดชุมพร การทำงานบนดินหัวหน้าพรรคออกโรงเองโดยอ้างว่านำคณะลงไปแก้ปัญหาอุทกภัย (ในหน้าแล้ง) คือพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปราชการในจังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2565 โดยใช้คำว่าลงไปตรวจราชการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและวางแผนป้องกันน้ำท่วมปีต่อๆ ไป ทั้งๆ ที่ภาวะน้ำหลากในจังหวัดชุมพรผ่านพ้นไปเกือบสองเดือนแล้ว
และบังเอิญพลเอกประวิตรลงไปตรวจราชการตรงกับวันที่มีการปราศรัยใหญ่ของพรรค ปชป. กับ พปชร. เปิดประชันวัดกำลังวัดบารมีกันโดยการเปิดเวทีปราศรัยในเวลาเดียวกัน และตั้งเวทีห่างจากกันประมาณ 1 กม. โดย พปชร. เปิดปราศรัยหน้าสถานีรถไฟสวี และ ปชป. เปิดปราศรัยที่หน้าสำนักงานเทศบาลตำบลบ้านโพธิ์
จากการมองด้วยตาสองข้างและฟังด้วยสองหู ทั้งสองเวทีพบว่าบารมีของลูกหมีหรือนายจุมพล จุลใส อดีต สส. ปชป. มีบารมีเหนือกว่าขาใหญ่แห่งกว้านพะเยาหลายช่วงตัว
ส่วนงานใต้ดินที่เลขาพรรคเคยแฉหัวหน้าพรรคว่ามีศักยภาพสั่งคนให้ทำงานบนดินและใต้ดินได้หลายคน ได้เกิดขึ้นจริงแล้วในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดชุมพร หลังจาก.ที่นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษก ปชป. โวยขึ้นว่ามีทหารนอกพื้นที่ลงมาทำงานใต้ดินในเขตเลือกตั้งที่ของจังหวัดชุมพร ประมาณหนึ่งร้อยนาย
พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ก็สั่งการให้ทหารเหล่านั้นออกจากพื้นที่ทันที แต่ถึงแม้ทหารถอนตัวไป งานใต้ดินยังไม่จบสิ้น เรียกว่าเสนียดไปจัญไรมา แหล่งข่าวจากชาวบ้านในและสื่อมวลชนท้องถิ่นบอกว่ามีตำรวจแปลกหน้ามาจากนอกพื้นที่กว่าสามร้อยนายลงมาสืบสานงานใต้ดินต่อจากทหารที่ถูกสั่งให้ออกนอกพื้นที่
“มีทั้งตำรวจกองปราบ ตำรวจนอกพื้นที่ผมไม่คุ้นหน้ามา สอบถามข้อมูลของลูกหมี ว่าทำธุรกิจสีเทาอะไรบ้างหรือไม่ผมตอบไปว่าไม่รู้” นักข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งบอกกับผู้เขียน “ตำรวจนอกพื้นที่พวกนี้บางทีก็มาล็อกพื้นที่เคลื่อนไหวของผู้สมัครคู่แข่ง พปชร.” ผู้สื่อข่าวกล่าว
ตำรวจนอกพื้นที่ลงมาทำงานใต้ดินให้พรรค พปชร. มีจริงหรือไม่ ผู้เขียนไม่ได้เห็นกับตาแต่ฟังจากผู้สื่อข่าวท้องถิ่นที่เชื่อถือได้และชาวบ้านบางคนบอกว่าพวกมันลงมาเที่ยวเพ่นพ่านอยู่ทุกหน่วยเลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้ง เขตที่ 1 มีมากกว่า 280 หน่วย อย่างน้อยพวกมันต้องมามากกว่า 300 คน
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่งานใต้ดินยังคงดำเนินต่อไปแต่ในเวทีการปราศรัยหาเสียงทั้งสองพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้สาดโคลนใส่กันไม่โจมตีกันไป-มา ต่างพรรคต่างก็พูดถึงคุณสมบัติของผู้สมัครและศักยภาพของพรรคตัวเอง ฝ่าย พปชร. ก็คุยโอ่ถึงผลงานของรัฐบาล ทั้งที่เวทีปราศรัย และรถแห่ของ พปชร. เน้นเปิดเพลงบรรยายเรื่องบัตรสวัสดิการของรัฐ โครงการคนละครึ่ง โครงการไทยชนะ
แต่ที่พลาดท่าในเวทีปรายศรัย สส.พปชร. จากจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ผลงานทำให้ปาล์มน้ำมันขึ้นราคาจาก 2.50 บาท เมื่อสองปีก่อนเป็น 9 บาท 10 บาทเวลานี้เป็นความคิดของลุงตู่ ทั้งๆ ที่การประกันราคาพืชผลเป็นนโยบายหลักของ ปชป. และโฆษกในเวทีพูดด้วยว่าเป็นผลงานของลุงป้อมที่ผลักดันงบประมาณให้กรมชลประทานแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งทั้งๆ ที่กรมชลประทานอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเลขาพรรค ปชป. เป็นรัฐมนตรีว่าการ
ส่วนเวทีปราศรัยของ ปชป. เน้นให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นใจ “ลูกหมี” ว่าต่อสู้เพื่อชาติ ต่อสู้เพื่อไม่ให้มีกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิดให้ทักษิณและต่อสู้เพื่อขับไล่รัฐบาลโกงชาติในโครงการรับจำนำข้าว แต่ก็ยอมรับคำตัดสินของศาลเคารพกฎหมายอย่างชายอกสามศอก และสัมผัสได้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นใจและรัก “ลูกหมี” มากว่าขาใหญ่แห่งกว้านพะเยา
ผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรไม่อาจคาดเดาได้ พูดได้แต่เพียงว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแต่เสียกับเสีย หากผู้สมัคร พปชร. แพ้เลือกตั้งก็อาจถูกขาใหญ่ในพรรคซึ่งเคยวางแผนหักหลังพลเอกประยุทธ์มาแล้วกล่าวโทษว่าเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์อิดออดไม่ให้ส่งผู้สมัครตั้งแต่ต้นทำให้หัวคะแนนและชาวบ้านไขว่เขวลังเลใจ
แต่ถ้าบังเอิญผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. พรรค พปชร.เกิดฟลุก ชนะขึ้นมาพลเอกประยุทธ์ก็ถูกกล่าวหา ว่าใช้อำนาจรัฐใช้อิทธิพลข้าราชการในพื้นที่ใช้วิธีใต้ดินถึงชนะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันได้ เพราะพลเอกประยุทธ์เองก็ไม่มีวันรู้ว่าข้าราชการ ตำรวจ ทหารที่ “หัวหน้าพรรค” ใช้ให้ไปทำงานใต้ดินได้ทำอะไรลงไปบ้าง
ถึงได้พาดหัวว่าการเลือกตั้งซ่อมชุมพร สร้างความสั่นคลอนให้รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเหตุว่า “หัวหน้าพรรค” และขาใหญ่ใน พปชร. ไม่เห็นหัวพลเอกประยุทธ์มานานแล้ว กรรมการบริหารพรรค พปชร. ที่เคยตบเท้าเข้าพบนายกฯ แล้วเขียนใบลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคเพื่อบีบให้มีการให้เปลี่ยนเลขาฯพรรคคนใหม่ตามกฎหมาย แต่พอลุงป้อมกระแอมกระไอก็เก็บใบลาออกไว้ในลิ้นชัก
จึงพูดได้ว่าเวลานี้ทู่ซี้อยู่กันไปเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม และอีกอย่างหนึ่งในพรรค พปชร. มีหลายกลุ่มหลายฝ่าย เท่าที่สังเกตจากเวทีปราศรัยไม่เห็นกลุ่ม
สามมิตรและกลุ่มริเริ่มผู้ก่อตั้ง พปชร. ปรากฏตัวช่วยหาเสียงเลย มีแต่ว่าที่ผู้สมัครจากหลายจังหวัดในภาคใต้กับ สส.พปชร. สองคนจากนครฯช่วยปราศรัยหาเสียง
คอลัมน์นี้ถึงได้ทำนายไว้ตั้งแต่ฉบับแรกของปีเสือ ว่า เมื่อหมดวาระสภาชุดนี้หรือยุบสภาก่อนหมดวาระเพื่อให้เลือกตั้งกันใหม่ เลือกตั้งเสร็จพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาต้องพูดเหมือนป๋าว่า “ผมพอแล้ว”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี