ราคาหมูแพงขึ้นจริงๆ แต่การแสดงความคิดเห็นในสังคมเวลานี้ มีทั้งของจริงและของปลอม
มีทั้งเน้นดราม่าการเมือง ปั่นหัวให้คนในสังคมสับสนไปในทิศทางที่หวังการเมืองเรื่อง “หมูล้มรัฐบาล” และก็มีทั้งที่เป็นข้อมูลบนฐานความเป็นจริง เสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์น่าสนใจ
1. สื่อจำนวนมากนำเสนอกรณีฟาร์มหมู จ.ระยอง ที่ออกมาโวยขายหมูแค่โลละ 60 บาท ไม่มีคนมาซื้อ
ล่าสุด ความจริงปรากฏแล้วว่า เป็นการปั่นกระแสให้สังคมสับสน
“ท็อป นิวส์” ได้รายงานความจริงชัดเจน ระบุว่า ได้ติดต่อไปยังนางปริญทิพย์ ศึกษา หรือคุณเอส เจ้าของฟาร์มหมูต้นเรื่อง ได้รับข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งว่า ไม่คิดว่าข่าวที่ออกมาจะใหญ่โตขนาดนี้ และคนที่เอาไปสื่อสาร ต่อ ไม่ได้เล่าข้อมูลตามจริงทั้งหมด ยอมรับว่าได้พูด ได้ระบายออกไปเพราะอารมณ์อึดอัดใจ เนื่องจากเลี้ยงหมูมาแล้ว 5 เดือน ไม่ได้ออกไปไหน และหมูทุกตัวในฟาร์ม ก็แข็งแรงดี ไม่ได้เป็นโรคใดๆ
“นักข่าวมาถามว่า หมูในฟาร์มขายได้ราคาเท่าไหร่ ก็ตอบไปตามความจริงว่า ขายได้กิโลละ 60 บาท ซึ่งเป็นการทำประกันราคากับบริษัทไปแล้ว และหมูที่ฟาร์มเรา ต้องขายให้กับบริษัท ที่ทำสัญญา บริษัทเดียวเท่านั้น แต่บริษัทยังไม่ได้มาเอาหมูไป เพราะต้องรอกำหนดเวลา เมื่อข่าวนำเสนอ ออกไปว่าที่นี่มีหมูเป็นหมื่นๆ ตัว ทำให้คนแห่กันโทรมาสอบถามเพื่อจะขอซื้อในราคา 60 บาท ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เราไม่สามารถขายให้ได้ ฟาร์มเราเลี้ยงแบบชนิดประกันราคาเอาไว้เมื่อ 5 เดือนก่อน ก็ไม่คิดว่าวันนี้หมูจะแพงขนาดนี้”
นางปริญทิพย์ กล่าวต่อว่า สำหรับหมูที่ฟาร์มขณะนี้ มีอยู่ประมาณ 1,000 กว่าตัว ไม่มีป่วยตาย และไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อใดๆ ยังแข็งแรงดีทุกตัว พร้อมกันนี้อยากจะขอแก้ข่าว ที่ออกไปก่อนหน้าว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด ตอนนี้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะข่าวมันถูกสื่อสารไปไกลมากแล้ว ยอมรับว่าที่พูดออกไปเพราะรู้สึกเหนื่อย เพราะที่ฟาร์ม คนงานก็ไม่มีต้องดูแลหมูพันกว่าตัว ทำให้ต้องพูดระบายอารมณ์ออกไป
2. ในความเป็นจริง หากผู้เลี้ยงหมูได้รับการอุดหนุนจากบริษัทเอกชน โดยจัดหาอาหารสัตว์ให้ ส่งยาป้องกันรักษาโรค จัดสัตวแพทย์คอยดูแล ฯลฯ แลกกับการตกลงซื้อขายกันไว้ล่วงหน้าในราคาเท่าใด ก็ต้องเป็นไปตามสัญญา เพราะเท่ากับว่าต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่ (กว่า 70%) ไปตกอยู่กับบริษัทที่รับซื้อแล้ว
3. ทำไมหมูแพงขึ้น?
ช่วงที่ผ่านมา มีการส่งออกหมูไปต่างประเทศจำนวนมาก เพราะหมูในต่างประเทศมีโรค AFS แต่การผลิตไทยเรายังส่งออกได้
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้หมูแพงมาจาก
(1) ปริมาณผลผลิตหมูในตลาดปรับลดลง 50% จากปริมาณการบริโภคเฉลี่ยวันละ 40,000 ตัว ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ปริมาณหมูลดลง มาจากโรคระบาดในหมูหลายโรค ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตหมูมา 2 ปีแล้ว
(2) ต้นทุนการเลี้ยงจากราคาอาหารสัตว์ปรับสูงขึ้นกว่า 30% ทั้งวัตถุดิบข้าวโพด-กากถั่วเหลือง-มันสำปะหลังปรับสูงขึ้นหมด ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงเฉพาะค่าอาหารเฉลี่ย 8,000 บาทต่อกิโลกรัม
(3) ต้นทุนแฝงจากการป้องกันโรคระบาดหมูเพิ่มขึ้นมาอีกเฉลี่ย 500 บาทต่อตัว ส่งผลให้ผู้เลี้ยงหมูต้องหยุดการเลี้ยงไปกว่า 80-90% คิดเป็นสัดส่วนการเลี้ยงของรายย่อย 20% ของทั้งประเทศ ขณะที่รายใหญ่เลี้ยงอยู่ประมาณ 80%
4. น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2561 – 2564 ประเทศไทยมีการระบาดของโรคที่สำคัญในสุกร ได้แก่ โรคพีอาร์อาร์เอส (PRRS) Porcine reproductive and respiratory syndrome เป็นโรคหรือกลุ่มอาการในระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจในสุกร 707 ครั้ง โรคอหิวาต์สุกรหรือ Classical Swine Fever (CSF) 24 ครั้ง และโรคปากและเท้าเปื่อย (Food and Mouth disease : FMD) 11 ครั้ง
ก่อนหน้านี้ ไทยยังคงสถานะปลอดจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) แต่ยังคงมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมีการเกิด
โรค ASF ในประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ กรมปศุสัตว์จึงมิได้นิ่งนอนใจยังคงดำเนินงานตามแผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องเพื่อเป็นการรักษามูลค่าของอุตสาหกรรมการผลิตสุกรไม่น้อยกว่า 150,000 ล้านบาท
สำหรับกรณีราคาเนื้อสุกรที่ปรับสูงขึ้นในท้องตลาดนั้น แนวโน้มเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพสัตว์ในฟาร์มสุกรที่ต้องมีการควบคุมและกำจัดสุกรที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาดตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 ทำให้มีปริมาณสุกรที่ลดลง ต้องมีการพักคอกสัตว์ก่อนทำการเลี้ยงรุ่นการผลิตใหม่ และต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และการปรับระบบการเลี้ยงให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) เพื่อเป็นการควบคุมโรคซึ่งเป็นข้อจำกัดในเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อย ซึ่งบางรายไม่มีระบบการควบคุมโรคทำให้ไม่นำสุกรมาลงเลี้ยงเพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคทำให้เสียหาย จึงส่งผลให้ปริมาณในระบบการผลิตสุกรในประเทศไทยลดลงแต่ยังมีความต้องการในตลาดที่สูง ดังนั้น จึงทำให้ราคาเนื้อสุกรในท้องตลาดปรับตัวเพิ่มมากขึ้น
5. รัฐบาลกำหนดแนวทางแก้อย่างไร?
มีทั้งมาตรการระยะเร่งด่วน มาตรการระยะสั้น และมาตรการการแก้ไขปัญหาระยะยาว
มาตรการเร่งด่วน ได้แก่
1.ห้ามส่งออกหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2565 ถึง วันที่ 5 เมษายน 2565 เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อหมูภายในประเทศ และจะพิจารณาตามสถานการณ์ว่าควรให้มีการต่ออายุหรือไม่ โดยตัวเลขเบื้องต้นในปี 2564 มีการเลี้ยงหมูป้อนเข้าสู่ตลาด ประมาณ 19 ล้านตัว บริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว ส่งออกไปต่างประเทศประมาณ 1 ล้านตัว
2.ช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษี, การจัดสินเชื่อพิเศษของ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่อโรคระบาดต่ำ การตรึงราคาจำหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น
3. เร่งสำรวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตสุกร เพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตแม่สุกรทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้สุกรขุนตัวเมียมาใช้ทำพันธุ์ชั่วคราว เร่งเจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการกระจายพันธุ์และลูกสุกรขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่ กำหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค
มาตรการระยะสั้น ได้แก่ ส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ การขยายกำลังผลิตแม่สุกร สนับสนุนศูนย์วิจัยและบำรุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน เร่งศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด
มาตรการระยะยาว กระทรวงเกษตรฯจะผลักดันการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาด ส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม หรือ GFM มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงสุกรใหม่ เพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค สนับสนุนการเลี้ยงโดยจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กู้ยืมจาก ธ.ก.ส. ในโครงการสานฝันสร้างอาชีพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ เร่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยเพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว
สุดท้าย ปัญหาไม่สามารถแก้ได้ด้วยการเอาการเมืองมาปั่นกระแสดราม่าเพื่อหวังดิสเครดิตการเมืองกันอย่างเดียว แต่จะต้องแก้ปัญหาบนพื้นฐานความเป็นจริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี