การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มีความแนบแน่น แน่นแฟ้น นับเป็นเรื่องดีงามและควรแก่การยกย่องเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากใครก็ตามที่มองเห็นว่าการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงสันติ โดยผ่านกระบวนการด้านการทูต และการค้าพาณิชย์ การทหาร การศึกษา รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคประชาชนของประเทศคู่เจรจาให้แน่นแฟ้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจก็ต้องบอกว่าคนที่มีความคิดและมุมมองเช่นนั้น เป็นคนที่มีความคิดวิปริตพิสดาร ผิดมนุษย์ปุถุชนผู้ใฝ่ดี รักสันติ
การที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เมื่อต้นสัปดาห์นี้ นับเป็นเรื่องที่สาธารณชนและวิญญูชนต้องสรรเสริญและให้กำลังใจคณะผู้ทำงาน เพราะการทำงานจนประสบความสำเร็จในเบื้องต้นอย่างงดงามในครั้งนี้ นับว่าต้องอาศัยความอดทน และความอุตสาหะเป็นอย่างมาก เพราะกว่าจะบังเกิดภาพของนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบัน และคณะเดินทางไปยังกรุงริยาดราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เพื่อเข้าเฝ้าฯมกุฎราชกุมารเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด ซึ่งพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยนั้น ต้องผ่านการทำงานมายาวนานมาก จนในที่สุดจึงได้ปรากฏภาพประวัติศาสตร์ของการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองราชอาณาจักร จนเป็นข่าวปรากฏไปทั่วโลก
แต่ในความสำเร็จด้านการทูตของประเทศไทยในครั้งนี้ กลับมีคนบางกลุ่มบางจำพวกที่มีความคิดอันเข้าข่ายน่ารังเกียจ และดูแล้วต้องบอกว่าเป็นความคิดเชิงอุบาทว์ก็ว่าได้ โดยคนจำพวกวิปริตพิสดารกลุ่มที่ว่านั้นกลับจงใจพยายามว่าร้าย และดูแคลนการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีครั้งนี้ด้วยถ้อยคำที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นบุคคลผู้มีความเจริญในจิตใจแม้แต่น้อย ที่เลวร้ายกว่านั้นคือยังมีอุบาทว์ชนกลุ่มหนึ่งยังแกว่งปากไปว่าร้ายพระราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียอีก ซึ่งคนที่กระทำพฤติกรรมใดๆ ก็ตามอันไม่บังควรเช่นนี้ สมควรจะต้องถูกลงโทษตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะเท่ากับเป็นต้นตอแห่งความชั่วร้ายที่บั่นทอน บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย
แต่สำหรับคนที่มุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศแล้วกลับจะมีความชื่นชมและร่วมยินดีกับความสำเร็จในการทำงานครั้งนี้ของรัฐบาลไทย แล้วถ้ายิ่งได้ติดตามรับชมข่าวสารต่างประเทศโดยเฉพาะจากสื่อมวลชนต่างประเทศด้วยแล้วก็จะพบว่ามีการรายงานข่าวการกระชับสัมพันธไมตรีครั้งนี้อย่างมากมาย และยังรายงานด้วยว่าทั้งสองราชอาณาจักรจะมีการแลกเปลี่ยนเอกอัครราชทูตระหว่างกันในอนาคตอันใกล้ อีกทั้งจะกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าขาย และเชิงเศรษฐกิจระหว่างกันในเร็ววันนี้ด้วย ส่วนสายการบินซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabian Airlines)ได้ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่า จะกลับมาบินตรงระหว่างกรุงริยาดกับกรุงเทพฯ ภายในเดือนพฤษภาคมปีนี้
ขอย้ำว่าความสำเร็จในการเจริญสัมพันธไมตรีครั้งนี้ เป็นความร่วมมือร่วมใจของคณะทำงานเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้กลับมาเจริญงอกงามและแนบแน่นดังเดิม เป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ และเป็นสิ่งที่สมควรได้รับเสียงปรบมือให้ ซึ่งคนที่มีจิตใจเป็นปกติก็ย่อมร่วมยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้ แต่คนที่จิตใจวิปริตพิสดารก็จะรู้สึกโกรธแค้นที่ได้เห็นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ กลับมาเป็นปกติ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของพวกมีความคิดวิปลาส และขาดสติ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนไทยที่ต้องการเห็นราชอาณาจักรไทยมีสัมพันธไมตรีอันดีกับนานาชาติ ต้องขอสรรเสริญการทำงานของรัฐบาลไทย และคณะทำงานทุกคน ทั้งคณะทั้งอดีตและปัจจุบัน ซึ่งตั้งอกตั้งใจกอบกู้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้กลับมาแน่นแฟ้น และเจริญงอกงามต่อไปในอนาคต และขอประกาศให้สาธารณชนได้รับรู้ว่านี่คือความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของการทูตไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี