วันพุธ ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / เส้นใต้บรรทัด
เส้นใต้บรรทัด

เส้นใต้บรรทัด

จิตกร บุษบา
วันอาทิตย์ ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2565, 02.00 น.
รักสถาบัน...จงช่วยกันขยาย ‘เสียงของความรัก’

ดูทั้งหมด

  •  

คุณไพศาล พืชมงคล โพสต์เฟซบุ๊คเตือนในประเด็นที่ทุกคน ทุกฝ่าย ควรให้ความสนใจว่า...

“โปรดจับตา ขณะนี้มีการเปิด Facebook ใช้ชื่อให้เข้าใจว่า เป็นเพจของสถาบัน หรือปกป้องสถาบัน จำนวนหลายเพจมาก เพจเหล่านี้จะโพสต์เพียง 2 เรื่องคือ


~ ปกป้องยกย่องนักการเมือง

~ จิกหัวด่า ใครก็ตามที่เห็นต่างกับนักการเมือง

เพจเหล่านี้ไม่ได้ปกป้องสถาบัน แต่สร้างศัตรูให้สถาบัน และสร้างความแตกสามัคคีในหมู่ประชาชน ดังนั้นพี่น้องประชาชน จึงต้องสังเกต เพจเหล่านี้ให้ดีจะได้ไม่ถูกหลอกหรือทำให้เข้าใจผิด ใครเอางบประมาณไปทำแบบนี้ต้องรับผิดชอบ!!! หน่วยงานที่มีหน้าที่ปกป้องพิทักษ์สถาบันควรติดตามแก้ไขปัญหานี้โดยด่วน!!”

ผมเห็นด้วยกับการแจ้งเตือนนี้ของคุณไพศาลครับ

นับวัน การเมือง ที่ใช้อารมณ์ “โกรธ เกลียด กลัว” เพื่อแบ่งแย่งแล้วปกครอง เพื่อหาคะแนนนิยมให้ตัวเอง ไม่ใช้ความรู้ความสามารถของบุคลากรของตัวเองมา “ทำงานให้เป็นที่ประจักษ์” ไม่แข่งขันกันสร้างนโยบายเพื่อการพัฒนาและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและประเทศ แต่ชอบใช้เครื่องทุ่นแรงที่ “เร้าอารมณ์” ผู้คนได้ง่าย นั่นก็คือ “สถาบัน” ไม่ว่าจะใช้เพื่อปลุกเร้าความรักหรือความไม่รัก ล้วนเป็นคนมักง่าย เห็นแก่ประโยชน์ของตน และมิได้รักจริง

แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยต่าง “ระมัดระวัง” มาก ในการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มิใช่เพราะกลัวหรือไม่รัก แต่เพราะเทิดทูนศรัทธา เสียจนคิดแล้วคิดอีกว่า
ควรกล่าวถึงเมื่อไรและอย่างไร

ทุกวันนี้เถียงกันขรมไปหมด โดยมิได้ระมัดระวังเลยว่าเป็นการ “ดึงสถาบัน” ซึ่งเรากำหนดไว้ว่า “อยู่เหนือความขัดแย้ง/อยู่เหนือการเมือง/เป็นที่เคารพสักการะ” มาสู่ความขัดแย้ง มาเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง มาเป็น “เส้นเชือก” ของการชักเย่อ

ครั้งหนึ่ง ก็เป็นคุณไพศาล พืชมงคล นี่แหละ ที่โพสต์เตือนว่า พรรคการเมืองไม่ควรนำเรื่องนโยบายมาเป็นเงื่อนไขหวังแพ้หวังชนะ เพราะหากไม่ชนะ จะถูกตีความไปถึงความนิยมในสถาบันไปด้วย

ผมเองสนับสนุนประเด็นดังกล่าว และย้ำว่า กกต. ควรหันมาพิจารณาประเด็นนี้ให้มาก

ในอดีตก็มีบทเรียนมาแล้ว จากกรณีสื่อหาเสียงของผู้สมัคร สส.รายหนึ่งในเขตคลองเตย หรือประเด็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด คือ ป้ายหาเสียงของคุณปราโมทย์ ไม้กลัด ที่แม้ในชีวิตเคยรับราชการ ถวายงานพระเจ้าอยู่หัว แต่เมื่อมาสมัคร สว. ควรหรือไม่ที่จะนำภาพการถวายงานมาใช้ในการหาเสียงเพื่อไปสู่ “ตำแหน่งทางการเมือง”

คนไทยรักสถาบันอยู่แล้วครับ แม้ไม่ทุกคน แต่คนส่วนใหญ่ที่รักสถาบันต้องมีสติและ “เลือกวิธีที่จะแสดงออกซึ่งความรัก” นั้น โดยมิสร้างความบอบช้ำแก่สถาบันที่เรารัก และไม่เพิ่มจำนวนหรือระดับการต่อต้าน เพียงเพราะเราแสดงออกแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

สถาบันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นเครื่องมือปกป้อง เริ่มตั้งแต่บารมีส่วนพระองค์ อันเป็นผลจากพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจ, กฎหมาย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายอาญา และความรัก ความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทย ที่จะเทิดทูนไว้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง

ครั้นการเมืองและมวลชน ถูกเร้าอารมณ์ทั้งด้านรักและด้านต่อต้าน คนก็ “มีอารมณ์ร่วม” และกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” โดยไม่รู้ตัว ฝ่ายต้านก็ต้านอย่างเลวทราม ทั้งด้วยถ้อยคำ กิริยาท่าที ข้อเรียกร้อง และการแสดงออก ฝ่ายปกป้องก็เริ่ม “ตบะแตก” จนถูกการเมืองบางกลุ่ม “ช้อนใจ”เอาไปหาประโยชน์ หาความนิยมทันที

ผมจึงคิดว่า การปกป้องสถาบันที่เรารัก ควรทำด้วยความมีสติ มีเหตุผล และเข้มแข็งใน 3 ส่วนด้วยกัน

1.ฝ่ายกฎหมาย ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา สื่อสารสร้างความเข้าใจ กลั่นกรองให้รอบคอบ

2.ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ซึ่งกุมทรัพยากรอยู่ในมือทั้งงบประมาณ บุคลากร และสื่อของรัฐ (อาจรวมสื่อของกองทัพไว้ด้วย ที่ไม่ควรใช้เพียงเพื่อเอาไปขายสัมปทาน)ที่จะต้องช่วยกันสร้าง “สิ่งแวดล้อมแห่งความรัก” ด้วยการสื่อสารความจริงของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่เคียงข้างสุขทุกข์ของราษฎรมาอย่างต่อเนื่อง และมีราษฎรตัวจริงที่ “ชีวิตเปลี่ยน”ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นจำนวนมาก ผมขออนุญาตตำหนิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ที่สังคมเชื่อว่ารักและบางครั้งถูกตีความในเชิงว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ปกป้องสถาบันด้วยซ้ำไปว่า ตั้งแต่ครองอำนาจมา สมัยเป็นหัวหน้า คสช. และเป็นนายกฯจนมาเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่ 9 ถึงรัชกาลปัจจุบัน ท่านไม่ได้มีวิสัยทัศน์ แต่กล่าวหาให้หนักกว่านั้น คือ ดูเหมือนท่านไม่ได้มีใจที่จะใช้สื่อของรัฐ สร้างการรับรู้ สร้างเจตจำนงร่วมกันในการ“เห็นคุณค่า เห็นความดี ที่มีอยู่จริง” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ประจักษ์เลย วิทยุโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ ภายใต้การบริหารของ “ท่านไก่อู” มีการนำบุคคลที่ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “สลิ่ม” เข้าไปจัดรายการ ไปรับงบประมาณ ไปรับค่าตัว แบบที่“ข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์” น้อยใจ เข้าไปเป็นจำนวนไม่น้อย ใช้งบประมาณเดือนๆ หนึ่งก็ไม่น้อย ใช้เพื่อสร้างความนิยมและแก้ต่างทางการเมืองของ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นหลักใช่ไหมครับ แต่วิสัยทัศน์ในการใช้สื่อสร้างยุทธศาสตร์ “สืบสาน รักษา ต่อยอด”เพื่อส่งเสริมพระบารมี สนองพระมหากรุณาธิคุณ และสร้าง“สิ่งแวดล้อมเชิงบวกต่อสถาบัน” ผ่านสื่อ อยู่ตรงไหนครับ?

3. ประชาชน มีพื้นฐานของความรักและความจงรักภักดีอยู่แล้ว แต่อาจถูกชี้นำให้แสดงออกด้วยวิธีที่ไม่ได้ระวัง “ผลข้างเคียง” หรือการ “เข้าทาง” อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมุ่ง “ขุดหลุม”ให้ฝ่ายที่รักสถาบัน ไม่อาจควบคุมสติอารมณ์ และตีตลบหลังว่าคนรักสถาบันเป็นแบบนี้ และสิ่งที่ฝ่ายต่อต้าน ล้มล้าง ทำอยู่เสมอคือ ใช้ความเท็จ หรือความจริงครึ่งๆ กลางๆ “ล่อ” ให้เกิด“การถกเถียง” ทราบไหมครับ นั่นคือการช่วยเขา “ขยายผล”ช่วยเขา “เลี้ยงประเด็น” และช่วยเขา “ทำให้แพร่หลาย” ประชาชนควรกลับมาตั้งสติและ “ทำให้แพร่หลาย” ซึ่งข้อมูลความจริง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนทุกหมู่เหล่า ควบคู่ไปกับการที่ฝ่ายกฎหมายจะต้องทำงานให้ครอบคลุม ทั่วถึง กระชับฉับไว ในการจัดการกับคนที่ “เกินเลย/ก้าวล่วง”ก่อนที่สังคมจะเลือกวิธี “จัดการกันเอง” แล้วนำพาให้สถานการณ์ “เลยเถิด”

ถึงเวลาร่วมกันทำให้ “เสียงของความรัก” และ“เสียงของความเข้าใจ” ดังกว่าเสียงของการทุ่มเถียงกับคนชังกับประเด็นที่คนชังเป็น “ผู้กำหนด” ได้แล้วครับ

ยกตัวอย่างเช่น

1) ทันทีที่เบญจา แสงจันทร์ จากพรรคก้าวไกล ใช้วิธี “ตีขลุม/มั่ว” ว่างบประมาณแผ่นดินที่มีหน่วยงานขอรับงบประมาณ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการปกติ เป็น
“งบสถาบัน” ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า ประเทศชาติต้องเอางบประมาณแผ่นดินไปให้สถาบันใช้ สิ่งแรกที่เราอยากเห็นคือ รัฐ กระตือรือร้น ที่จะ “ให้ความรู้ที่ถูกต้อง” ในทันที ว่าเรื่องนี้เป็นการบิดเบือนทางการเมือง (โดยไม่ต้องปลุกเร้าความเกลียดชังหรือการเป็นขั้วตรงข้ามให้เข้าทางเขา) พร้อมกันนั้น ใช้เวลาได้เป็นเดือนๆ หรือเอาเข้าจริงๆ เป็นปีๆ เลย ที่จะขยายความ มีรายการประจำในสื่อของรัฐ และแปลงคอนเทนต์เข้าสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อสร้างการรับรู้ว่า สถาบันฯ ทำงานร่วมกับหน่วยงานราชการเสมอมา เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวคือ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้แก่ราษฎร กรมชลประทานสนองโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพราะเป็นโครงการที่ดี มีประโยชน์ และจนถึงปัจจุบัน ก็ทำในฐานะงานของหน่วยงานตัวเอง แต่ถวายพระเกียรติขององค์“ต้นคิด” ด้วยคำว่า “อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” สื่อของรัฐ(ซึ่งต้องการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่มีสติปัญญา มีวิสัยทัศน์ กำหนดนโยบาย ชี้ทิศทางที่ควรจะเป็น) จึงขอรับงบประมาณสนับสนุนตามแผนงานประจำปีที่มีอยู่เท่านั้นเองพร้อมกันนั้น อาจสนับสนุนให้กรมชลประทาน ร่วมสร้างเนื้อหาสำหรับจัดทำรายการ เช่น รายการชื่อ “อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ออกอากาศ 1 ปีเต็มๆ โดยชักนำคนทำงาน ข้าราชการ และราษฎร ที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงเพราะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มาบอกเล่า “ความจริง” และ “ความรู้สึก” ทั้งนี้ยังมีคนเช่นนี้ในสายงานของหน่วยงานอื่นๆอีกมากมาย ที่จะมาเติมเต็มรายการ “อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในแง่ที่ให้ “คนจริงๆ” บอกเล่า ไม่ใช่ “เขียนบทขึ้นมาเล่า” ไม่ใช่รายการยกยอปอปั้น แต่เป็นรายการ “ให้ความจริง” “ให้ความรู้” ให้เห็นพลวัตรพัฒนาการของการทำงานร่วมกัน และให้เห็น “ความรัก” ดังที่ผมใช้คำว่า“ให้เสียงของความรักได้ดังขึ้นบ้าง” ไม่ใช่ปล่อยให้ “เสียงของความเกลียดชัง” นำทาง แล้วต้องตาม “แก้ต่าง” ที่เจือด้วยความฉุนเฉียว อย่างที่เป็นอยู่ เพราะฝ่ายผู้มีอำนาจ มีกำลังคนและมีทรัพยากร ไม่ใส่ใจ ไร้สติปัญญา จนปวงประชาต้อง “ออกรบ” กันเองไปตามสภาพ

2) เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2564 โพสต์ทูเดย์รายงานว่า ด.ช.จีรภัทร กรมไธสง อายุ 13 ปี ชาว ต.นครสวรรค์ ออก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ได้มีการเขียนจดหมายส่งถึงพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอรับพระราชทานความเมตตากรุณาให้พระองค์ช่วยซ่อมแซมบ้านที่พักอาศัยซึ่งอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมและในหลวงได้ทรงมีพระราชกระแสตอบกลับและส่งเรื่องให้จังหวัดนครสวรรค์ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือได้สร้างความปลาบปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ ด.ช.จีรภัทรและครอบครัว

ด.ช.จีรภัทร กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาลวัดปากน้ำโพใต้ มีผลการเรียนในระดับเกรด 3 กว่าและมักได้เป็นตัวแทนไปทำกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนอยู่เสมอๆ ยามว่างจากเรียนก็หางานอาชีพเสริม ด้วยการรับจ้างเป็นผู้ช่วยสัปเหร่ออยู่ที่วัดปากน้ำโพใต้ หรือวัดตะแบก ทุกครั้งที่วัดมีการจัดงานฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิต จะเดินทางมารับจ้างเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อทุกครั้งจนรู้งานเกี่ยวกับขั้นตอนในการทำหน้าที่สัปเหร่ออย่างดีได้ค่าจ้างครั้งละ 100-400 บาท และนำเงินส่วนหนึ่งแบ่งให้กับพ่อและแม่ เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กับครอบครัวอีกทาง

ด.ช.จีรภัทรได้ระบุว่ามีความตั้งใจเขียนจดหมายถึงในหลวง เพราะบ้านที่อาศัยอยู่ในสภาพทรุดโทรมทั้งพื้นบ้านทะลุ และฝาบ้านพังเสียหายมานานหลายปี แต่ทางบ้านก็ไม่มีเงินซ่อม เพราะในฐานะยากจน บิดา คือนายสุธี กรมไธสง อายุ 37 ปี มีอาชีพรับจ้างขับรถส่งน้ำดื่ม และมารดา คือนางรันทิภา ชูประยูร อายุ 33 ปี ทำงานเป็นลูกจ้างขายไก่ทอดที่ร้านแห่งหนึ่ง ภายในห้างสรรพสินค้าทั้งคู่มีรายได้ต่อเดือนเพียงน้อยนิดเท่านั้น ทำให้ตนตัดสินใจเขียนจดหมายขอรับพระราชทานความช่วยเหลือ ด้วยการเข้ากูเกิ้ล หาแบบฟอร์มจดหมายก่อน จะมีการบรรจงเขียนจดหมายด้วยลายมือถึงความเดือดร้อนภาษาแบบชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์ และจากนั้นจึงได้เสิร์ชหาที่อยู่ของพระองค์ท่าน ในการจ่าหน้าซองระบุที่อยู่จัดส่ง พร้อมกับนำจดหมายดังกล่าว มอบให้กับมารดาเพื่อให้ช่วยนำไปส่งที่ไปรษณีย์ จดหมายได้ถูกส่งไปตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมากระทั่ง เมื่อไม่กี่วันนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการจังหวัด นำเครื่องอุปโภค-บริโภคเดินทางมามอบให้ถึงบ้าน จึงได้ทราบว่า ในหลวง ร.10 ได้อ่านจดหมายและได้ทราบถึงการขอความช่วยเหลือแล้ว จึงได้มีการส่งเรื่องมายังจังหวัด ให้มาตรวจสอบทำให้ตนรู้สึกปลาบปลื้มใจที่พระองค์ท่านทรงให้ความเมตตาเป็นอย่างมาก

นางรันทิภา มารดาของ ด.ช.จีรภัทร กล่าวว่ามีลูกรวม 4 คนด.ช.จีรภัทร เป็นลูกชายคนที่ 2 ซึ่งถือเป็นเด็กเรียนดี มีทักษะในการพูดคล่องแคล่ว อีกทั้งยังมีความกตัญญูไปทำงานเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อ เพื่อหาเงินค่าจ้างมาช่วยเหลือพ่อกับแม่วันไหนที่ว่างงาน ด.ช.จีรภัทร จะผลัดเปลี่ยนกันกับพี่สาว ติดตามไปช่วยขายไก่ทอดที่ร้านที่เป็นลูกจ้างอยู่เป็นประจำฐานะของครอบครัวยอมรับว่ายากจน ส่วนสามีทำงานเป็นลูกจ้างจึงมีรายได้รวมกันแค่พอใช้จ่ายกินอยู่ในครอบครัวเท่านั้น จึงทำให้ ด.ช.จีรภัทร เขียนจดหมายเพื่อขอรับพระราชทานความช่วยเหลือก็ไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งมารู้อีกที ว่าเขาได้เขียนจดหมายจริง และยังได้ขอให้ช่วยไปส่งจดหมายที่ทำการไปรษณีย์ให้ด้วยจนนำมาสู่เรื่องราวความปลาบปลื้มดีใจที่สุดของครอบครัว ถือเป็นพระเมตตากรุณาของพระองค์ท่าน ที่ทรงห่วงใยใส่ใจต่อความเดือดร้อนของประชาชน แม้ปัญหาเรื่องการซ่อมแซมบ้านตน อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับเรื่องอื่น แต่พระองค์ท่านก็ยังใส่ใจเมตตาทรงห่วงใยทำให้รู้สึกดีใจมาก

จากเหตุการณ์นี้ สิ่งที่รัฐทำต่อได้ทันที และ “นำทางสื่ออื่นๆ”คือการชี้ให้เห็น ความร่วมมือกัน อยู่คู่เคียงกัน ระหว่างปวงประชา ราชการ และพระเจ้าแผ่นดิน เหตุการณ์นี้ชัดเจนว่าเมื่อทุกข์ร้อนของราษฎรทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ทรงให้หน่วยงานในพระองค์ประสานกับหน่วยงานราชการเข้าไปรับทราบปัญหาเพื่อแก้ไข ส่วนพระองค์ท่านยังได้พระราชทานกำลังใจนี่คือ “การเติมเต็ม” ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การ “แยกกันอยู่”แยกกันทำ” เมื่อทุกคนรู้หน้าที่ และทำหน้าที่ โดย “สอดประสานสามัคคีกัน” ปัญหาก็ได้รับการแก้ไข พร้อมกันนั้น หน่วยงานรัฐที่นำเสนอเรื่องนี้ หรือขยายผลเหตุการณ์นี้ ก็ให้ความรู้แก่ประชาชนเสียเลยว่า หากเกิดปัญหาเช่นนี้ ให้ประชาชนร้องตรงไปยังหน่วยงานใด หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดเสียงของความรักและความเข้าใจก็จะเป็นตัวผลักดันเรื่องราว โดยไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงกัน มุ่งเอาชนะกัน จนสถาบันถูกดึงลงมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างเลยเถิด

3) วันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 วาสนา นาน่วม ได้เผยแพร่เรื่องราวว่า “ในหลวง - พระราชินี ทรงทักทายน้องผู้หญิงคนนี้ที่เฝ้าฯรับเสด็จที่นครปฐม เมื่อวานนี้ น้องคนนี้กราบบังคมทูลว่า...เคยเขียนจดหมายถวายในหลวง ตอนที่ไปเฝ้าฯรับเสด็จที่วัดพระแก้ว เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พระราชินี ทรงรับสั่งว่า “ใช่ๆ เราจำได้” ขณะที่ ในหลวง ทรงรับสั่งว่า “จดหมายฉบับนั้นให้กำลังใจเรา เราเก็บไว้ที่โต๊ะทำงาน ในห้องนอน และอ่านทุกวัน วันหลังเราจะถ่ายรูปมาให้ดูนะ” ทำให้น้องคนนี้ดีใจอย่างมาก ถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว

สรุป : ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ท่านก็เป็นคนธรรมดาที่มีหัวจิตหัวใจ ท่านก็มุ่งมั่นทำหน้าที่ของท่านตามที่สังคมกำหนด มอบหมาย และคาดหวัง สิ่งที่คนไทยทุกคนควรทำ คือ ทำหน้าที่ของตน โดยไม่ปนเปื้อนซึ่งผลประโยชน์ ความรัก ความชัง มุ่ง “รวม” มากกว่ามุ่ง “ผลัก” ดังที่ในหลวงพระราชทานเป็น “พรปีใหม่” ไว้ว่า...

“คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความสุข ความเจริญ ความสุข ความเจริญ ของแต่ละบุคคล กับความสุข ความเจริญ ของชาติบ้านเมืองนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หากเกิดปัญหาอุปสรรคหรือโรคภัยไข้เจ็บใดๆ เข้ามาแผ้วพาน เราทุกคนย่อมจะต้องร่วมมือกันด้วยความรัก สามัคคี ความอดทน และความเข้าใจปัญหา จะพาให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลาย

ทั้งนี้ ความสำเร็จเกิดจากการที่เรามิได้เพียงแต่คำนึงถึงความสุข ความเจริญ ของแต่ละบุคคล แต่ยังคำนึงถึงความสุข ความเจริญของบ้านเมือง เราจึงสามารถร่วมมือกันผ่านพ้นอุปสรรคและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานาได้อย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี”

โปรดร่วมกันรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมและนำไปปฏิบัติให้พร้อมเพรียงกันเถิด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
13:44 น. ‘นิพนธ์’ถึงบางอ้อ! ที่แท้'พท.'ใช้'มท.'ปลดล็อกพนัน เดินหน้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ เต็มสูบ
13:42 น. 'สิงคโปร์'มองเหตุปะทะไทย-กัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของผู้นำ
13:29 น. น้ำป่าหลาก! ท่วมทางเข้าวัดป่าถ้ำวัว สถานที่ปฏิบัติธรรมชื่อดังแม่ฮ่องสอน
13:26 น. ด่วน!!! ตร.อำนาจเจริญเข้ม ‘ห้ามบินโดรน’ ฝ่าฝืนจำคุก1ปี-ปรับ40,000บาท
13:22 น. 'อิ๊งค์'ยินดีสภาฯผ่าน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ก้าวสำคัญของการคุ้มครอง-ส่งเสริมวิถีชีวิต
ดูทั้งหมด
'อ.ธรณ์'จับโป๊ะ! โพสต์แฉภาพฝูงแร้งกินศพชายแดนไทย-กัมพูชา เอารูปแร้งหิมาลัยมามั่วนิ่ม
'ต้นหอม'ไมเกรนพุ่งปรี๊ด! หลังหุ้นส่วน'บอย ภิษณุ'ออกมาแฉยับ ลั่นชาวเน็ตอยู่ข้างคนชนะพอ
เจอหลักฐานใหม่!! 'อ.ปริญญา'ชี้'ฮุนเซน-ฮุนมาเนต'ละเมิดรัฐธรรมนูญตัวเอง
'สถานทูตญี่ปุ่น'โพสต์หลังลงพื้นที่ดูผลกระทบพลเรือนไทยในพื้นที่ชายแดน
สายใยแห่งมิตรภาพ! หน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์สหรัฐฯ ร่วมอาลัย'จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว'
ดูทั้งหมด
หมุนตามทุน : ‘trump-effect’...เศรษฐกิจไทยรับไปเต็มๆในปี2569
รัฐบาล‘สีเทา’
สะใจเรา ลำบากเขา : เมื่อเราก้าวข้าม ‘ความเป็นชาติ’ ไม่พ้น เลยขาด ‘ความเป็นคน’ ในสงคราม
อำมหิต ดิบ เถื่อน
แค้นอัลไพน์ ระบายที่เขากระโดง?
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

‘นิพนธ์’ถึงบางอ้อ! ที่แท้'พท.'ใช้'มท.'ปลดล็อกพนัน เดินหน้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ เต็มสูบ

'สิงคโปร์'มองเหตุปะทะไทย-กัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของผู้นำ

น้ำป่าหลาก! ท่วมทางเข้าวัดป่าถ้ำวัว สถานที่ปฏิบัติธรรมชื่อดังแม่ฮ่องสอน

'อิ๊งค์'ยินดีสภาฯผ่าน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ก้าวสำคัญของการคุ้มครอง-ส่งเสริมวิถีชีวิต

ฮือฮา!! 'จุรี นุ่มแก้ว' เปิดตัวลงสมัคร สส.เขต 2 สงขลา พรรคภูมิใจไทย

‘ปธ.วิปค้าน’ปูดกลางสภาฯ ทีมงานในกลุ่ม‘ปธ.-รองปธ.สภาฯ’ใช้ตำแหน่งหาผลประโยชน์

  • Breaking News
  • ‘นิพนธ์’ถึงบางอ้อ! ที่แท้\'พท.\'ใช้\'มท.\'ปลดล็อกพนัน เดินหน้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ เต็มสูบ ‘นิพนธ์’ถึงบางอ้อ! ที่แท้'พท.'ใช้'มท.'ปลดล็อกพนัน เดินหน้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ เต็มสูบ
  • \'สิงคโปร์\'มองเหตุปะทะไทย-กัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของผู้นำ 'สิงคโปร์'มองเหตุปะทะไทย-กัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของผู้นำ
  • น้ำป่าหลาก! ท่วมทางเข้าวัดป่าถ้ำวัว สถานที่ปฏิบัติธรรมชื่อดังแม่ฮ่องสอน น้ำป่าหลาก! ท่วมทางเข้าวัดป่าถ้ำวัว สถานที่ปฏิบัติธรรมชื่อดังแม่ฮ่องสอน
  • ด่วน!!! ตร.อำนาจเจริญเข้ม ‘ห้ามบินโดรน’ ฝ่าฝืนจำคุก1ปี-ปรับ40,000บาท ด่วน!!! ตร.อำนาจเจริญเข้ม ‘ห้ามบินโดรน’ ฝ่าฝืนจำคุก1ปี-ปรับ40,000บาท
  • \'อิ๊งค์\'ยินดีสภาฯผ่าน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ก้าวสำคัญของการคุ้มครอง-ส่งเสริมวิถีชีวิต 'อิ๊งค์'ยินดีสภาฯผ่าน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ก้าวสำคัญของการคุ้มครอง-ส่งเสริมวิถีชีวิต
ดูทั้งหมด

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง

‘มนุษยธรรม’ ทะเล่อทะล่า

‘มนุษยธรรม’ ทะเล่อทะล่า

6 ส.ค. 2568

สมรภูมิรบใหม่ ‘ไทย-กัมพูชา’

สมรภูมิรบใหม่ ‘ไทย-กัมพูชา’

3 ส.ค. 2568

ความอ่อนแอของ ‘รัฐบาล-การข่าว และการเมือง’

ความอ่อนแอของ ‘รัฐบาล-การข่าว และการเมือง’

30 ก.ค. 2568

ถ้อยคำของ ‘ทักษิณ’ ขณะแผ่นดินลุกเป็นไฟ

ถ้อยคำของ ‘ทักษิณ’ ขณะแผ่นดินลุกเป็นไฟ

27 ก.ค. 2568

เสียงสะอื้นหลังคำพิพากษา

เสียงสะอื้นหลังคำพิพากษา

23 ก.ค. 2568

กับระเบิด \'กัมพูชา \'

กับระเบิด 'กัมพูชา '

19 ก.ค. 2568

เชลียร์จนได้เรื่อง!

เชลียร์จนได้เรื่อง!

16 ก.ค. 2568

‘ความเสือก’ ของ ‘ทักษิณ’

‘ความเสือก’ ของ ‘ทักษิณ’

13 ก.ค. 2568

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved