ต่อตระกูล: คำรณรงค์ที่ว่า “ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ผิดกฎหมาย ทำลายชาติ” ที่เคยเห็นกันเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำไมถึงจึงไม่ค่อยเห็นอีกแล้ว และเคยได้ยินว่ามีนักวิชาการ บอกว่าการซื้อเสียงไม่มีแล้วในประเทศไทยจริงหรือ
ต่อภัสสร์: ก่อนอื่นเลย ผมคิดว่าสาเหตุหลักที่เราไม่ค่อยได้ยินคำรณรงค์นี้มากเท่าแต่ก่อน เพราะทุกวันนี้เราไม่ได้รับสิทธิเลือกตั้งบ่อยเท่าที่เราควรจะได้รับนะครับ
ส่วนที่พ่อบอกว่าเคยได้ยินนักวิชาการบอกว่าประเทศไทยไม่มีการซื้อเสียงแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนนะครับ ผมคิดว่าพ่อน่าจะหมายถึงบทสัมภาษณ์ของ ศาสตราจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองและปัญหาการคอร์รัปชัน แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อต้นปี 2557 ซึ่งอาจารย์ไม่ได้บอกว่าการซื้อเสียงไม่มีแล้ว แต่อธิบายว่า ผลกระทบของการจ่ายเงินช่วงก่อนเลือกตั้งมันเปลี่ยนแปลงไปมาก
ศาสตราจารย์ผาสุก อธิบายว่า “การซื้อเสียง” มักถูกฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้ง หรือ กลุ่มที่ต่อต้านการเลือกตั้ง ยกเป็นข้ออ้างสำหรับแนวคิดว่า “สังคมไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งยังมีการซื้อเสียง และคนส่วนใหญ่ก็ยังถูก “ซื้อ” ได้อยู่”ซึ่งศาสตราจารย์ผาสุกกล่าวว่าความคิดนี้เป็นเพียง “มายาคติของผู้ที่มองการซื้อเสียงอย่างผิวเผินเท่านั้น” และ “แนวคิดที่ว่าการให้เงินก่อนเลือกตั้งสามารถ “ซื้อ” เสียงให้นักการเมืองได้จริงนั้น เป็นแนวคิดของชนชั้นกลางที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมการเมืองในชนบท”
จากงานวิจัยของอาจารย์ที่ลงพื้นที่สำรวจพฤติกรรมของคนไทยทั่วประเทศพบว่า “มีคนเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่คิดว่าเงินซื้อเสียงมีผลต่อการตัดสินใจ และภาคกลางและภาคใต้ ก็เป็นพื้นที่การซื้อเสียงมีผลต่อการตัดสินใจมากที่สุด ไม่ใช่ภาคอีสานหรือภาคเหนืออย่างที่ชนชั้นกลางจำนวนหนึ่งคิด” สะท้อนให้เห็นว่า เงินที่ถูกแจกในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่เรามักจะเรียกว่า “เงินซื้อเสียง” นั้น มีผลต่อการตัดสินใจเลือกของคนน้อยมาก จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น “ธรรมเนียม” ที่นักการเมืองทุกพรรคต้องปฏิบัติตามกันเรื่อยมา แม้มันแทบจะไม่มีผลต่อคะแนนเสียงเลยก็ตาม
ศาสตราจารย์ผาสุก กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ความคิดที่ว่า คนชนบทตัดสินใจลงคะแนนเลือกเพราะถูกซื้อเสียงนั้น จึงเป็นมายาคติของชนชั้นกลาง ที่น่าจะหมดไปได้หากชนชั้นกลางหมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสังคมนอกละแวกเขตบ้าน ที่ทำงาน หรือสถานศึกษาของตัวเอง”
ผมฟังดูแล้วก็นึกถึงสถานการณ์จริงเร็วๆ นี้ ที่มีอดีต สส. คนหนึ่งกล่าวถึงการเลือกซ่อมที่เพิ่งผ่านมาว่า ที่พรรคตนแพ้ เพราะพรรคที่ชนะ“ซื้อเก่งกว่า” ซึ่งสะท้อนเรื่องที่ศาสตราจารย์ผาสุกกล่าวถึงทั้ง 2 ประเด็นว่า เรื่องการซื้อเสียงนั้นมักถูกยกเป็นข้ออ้างของผู้แพ้การเลือกตั้ง และคำว่า “ซื้อเก่งกว่า” ซึ่งมีความหมายเปรียบเทียบก็สามารถตีความได้ว่าก็ “ซื้อ” กันทั้งคู่นั่นล่ะ
ต่อตระกูล : แล้วคำว่า “คนดี ไม่ขายเสียง” ใช้ไม่ได้แล้ว และห้ามพูดด้วยใช่ไหม
ต่อภัสสร์: ผมคิดว่าคงไม่ได้ห้ามพูดนะครับ เพราะสังคมที่มีคนดีก็ย่อมดีกว่าสังคมที่มีแต่คนไม่ดีอยู่แล้ว แต่ปัญหามีอยู่ 2 ประการครับข้อแรกคือ “คนดี” นี้เป็นอย่างไร และข้อสองคือ แน่ใจหรือว่า“คนดี” ในวันนี้จะไม่เปลี่ยนไปเมื่อมีอำนาจแล้ว
สำหรับข้อแรกที่ผมตั้งคำถามว่า “คนดี” นี้เป็นอย่างไร ก็เพราะบรรทัดฐานสังคม ที่มักถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่าอะไรคือ ความดีแบบไหนคือ คนดี นั้น มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมเสมอไปและมันมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คำว่าความดีของคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ความดีของคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ เหตุการณ์สมมุติที่ถูกใช้อยู่บ่อยๆ คือ สมมุติให้คุณมีคุณแม่ที่ป่วยหนัก ต้องการยาตัวหนึ่งที่ราคาแพงมาก บังเอิญคุณทำงานในร้านขายยา คุณจะขโมยยาไปให้คุณแม่ของคุณไหม ถ้าคุณอยู่ในสังคมที่ความกตัญญูเป็นคุณค่าสำคัญที่สุด คุณอาจจะเลือกที่จะขโมยยามาช่วยแม่ และได้รับการยกย่องว่าเป็น คนดีแต่ถ้าคุณอยู่ในสังคมที่ความซื่อสัตย์เป็นบรรทัดฐานหลัก คุณจะไม่ขโมยและได้รับการยกย่องว่า เป็นคนดี เห็นไหมครับว่าคนคนเดียวกัน ทำสองสิ่งที่แตกต่างกัน เมื่ออยู่คนละสังคมกัน ก็อาจเป็นคนดี หรือ คนไม่ดีได้ทั้งคู่ ดังนั้น ถ้าอยากให้คนไม่ซื้อเสียง ก็บอกไปเลยตรงๆ ว่า ต้องการคนไม่ซื้อเสียง ไม่จำเป็นต้องยกวาทกรรม “คนดี” ขึ้นมาหรอกครับ เพื่อลดความสับสนของคนในสังคมที่มีความหลากหลายแบบสังคมของเรา
ส่วนข้อสอง ที่ผมตั้งคำถามว่า แน่ใจหรือว่า “คนดี” ในวันนี้จะไม่เปลี่ยนไปเมื่อมีอำนาจแล้ว ก็มาจากข้อสังเกตต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อเกิดวิกฤตการณ์หลายครั้งที่ผ่านมา เรามักจะพยายามหาอัศวินขี่ม้าขาวผู้เป็น “คนดี” มาเป็นผู้นำกอบกู้สถานการณ์ ซึ่งบางครั้งก็เหมือนจะดูดีในช่วงแรกๆ แต่ผ่านไปสักพักสถานการณ์กลับดูจะแย่กว่าเดิม ผู้นำคนดีหลายคนถึงกับยอมตระบัดสัตย์ ไม่ยอมปล่อยวางอำนาจที่ได้รับมาอย่างไม่ถูกต้องตามกระบวนการทางประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ บางท่านอาจจะถกเถียงว่าบางสถานการณ์อาจจะจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น ผมก็จะขอชวนถอยออกมาดูภาพในระยะยาวขึ้นตลอดประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เราให้ความสำคัญกับการค้นหาคนดีเช่นนี้ มันได้พาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทยมาติดกับดักการพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน
ต่อตระกูล : เรื่องซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งนี่ คงเป็นเรื่องที่เรา 2 คนมองต่างมุมกัน แต่ก็เป็นเรื่องดีที่นานๆ จะได้ถกเถียงกันบ้าง ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านคอลัมน์เราได้รับทั้งข้อมูลและความเห็นหลากหลาย จากหลายๆ ด้านด้วย จึงจะขอนำเรื่องราววิธีการที่นักการเมืองเขาใช้เงินมาช่วยเพิ่มคะแนนเสียงกัน จากเฟซบุ๊คของพ่อเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่พ่อประกาศขอทราบเรื่องราวการซื้อขายเสียงจากคนต่างๆ ที่ได้พบประสบมาเอง มาเล่าสู่กันฟังกัน มีคนเข้ามาเล่าเรื่องกันมากมาย รายหนึ่งเป็นอดีตนายก อบต. เล่าว่า “มันเริ่มจาก บ้านใหญ่ เรียกผู้นำ (ผู้ใหญ่บ้าน/กำนัน) เข้าพบแจ้งว่าต้องการจ่าย 70%-80% ของประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ถ้าทำได้จะได้โบนัสเป็นเงินบ้าง ไปเที่ยวต่างประเทศบ้างแล้วแต่จะตกลง มี 2 วิธีคือ 1.จ่ายจริงให้ประชาชนจริงๆ แล้วให้เขาไปลงคะแนนจริง 2. ผู้นำแบ่งทีมโทรหาคนที่ไม่อยู่และจะไม่มาใช้สิทธิแจ้งเจ้าตัวว่าจะกากบาทให้เองไม่ต้องมาก็ได้ มีบางกรณี เช่นในจังหวัดหนึ่ง.....ไม่โทรบอกเจ้าตัวเลย ถึงเวลาผู้นำและคณะกรรมการร่วมกันกากบาทแทนเองเรียบร้อย (เอาเงินที่บ้านใหญ่จ่ายมาแบ่งกัน) จังหวัดนี้กำลังถูก กกต.เรียกกรรมการการเลือกตั้งสอบเอาผิดอยู่ทราบว่ามีมากกว่า 20 หน่วยเลือกตั้งหน่วยละ 11 คน ในกรณีเลือกนายก อบจ. ที่ผ่านมา ประชาชน 80% ก็ต้องการที่จะได้เงินโดยไม่สนว่าจะเป็นใคร เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้”
มีอีกคนหนึ่งเล่ามาว่า เลือกตั้งใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการจ่ายเงินกันแทบทุกพรรค แม้จะอยู่ภายใต้กฎหมายเลือกตั้งที่เข้มข้น เอาผิดหนักกับนักการเมืองที่ซื้อเสียง ก็ยังรู้กันทั่วไปว่า ถ้ามีเลือกตั้งก็ต้องได้เงิน เป็นเรื่องปกติ รับเงินกันทุกคน คนที่มีเงินไม่ยากจนก็รับด้วย ใครไปสำรวจสอบถามก็บอกอย่างภาคภูมิใจว่าถึงจะรับเงินเขามาแต่ก็ไม่ได้ขายเสียง เพราะไม่ได้เลือกคนที่แจกเงินมาเสมอไป แต่จริงๆ แล้วก็ไม่กล้า เพราะในต่างจังหวัด อิทธิพลมืดมันยังมีอยู่มาก บางคนพูดว่าถูกเตือนว่าอย่าผิดสัญญาระวังครอบครัวจะเดือดร้อน!
มีคนหนึ่งที่เข้ามาแนะนำตัวเองว่า ได้ทำงานติดตามนักการเมืองมานาน ขอเล่าว่า “ จากประสบการณ์เคยไปติดตามนักการเมืองเมื่อสมัยก่อน เขาจะเก็บสถิติเก่าๆ หลายๆ ครั้งว่าคนชนะในเขตนั้นๆ ต้องได้กี่คะแนน แล้วมาประเมินว่าเลือกตั้งครั้งนี้ต้องมีกี่คะแนนจึงจะชนะเช็คหัวคะแนนแต่ละคนว่ามีกี่เสียงในมือ (หัวคะแนนส่วนใหญ่ก็พวกผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อสม.) รวมกันแล้วถ้ายังขาดอยู่ก็ต้องมีการนัดประชุมหัวคะแนนอัดฉีดกันว่าต้องไปหาเสียงมาเพิ่ม คนละ30-50 หัวก็ว่าไป แจกกระเป๋าหัวคะแนนไปคนละใบ ในนั้นเงินสดๆทั้งนั้น ที่มาของเงินก็จากพรรคต้นสังกัดบ้าง นายทุนส่วนตัวผู้สนับสนุนบ้าง เงินตัวเองบ้าง อาชีพนักการเมืองทุนเยอะครับ แต่ถ้าได้เป็นก็คืนทุนไว ส่วนคนที่แพ้บางคนแทบหมดตัว”
ส่วนเรื่องพรรคต้องแจกเงินให้ผู้จะลงสมัครเป็นกระเป๋านี่ พ่อก็ได้ฟังมานานแล้ว จากอดีต สส. ว่าเขาก็ได้มา 1 เป้ใหญ่เหมือนกัน วันที่ไปสมัครจะลงรับเลือกตั้งในนามพรรคนั้น พอเล่าประวัติของตัวเป็นที่น่าพอใจ ก่อนกลับเลขาธิการพรรค ให้ไปหยิบเป้ที่วางอยู่ข้างผนังไปได้ 1 ใบหนักมาก ในนั้นมีแบงก์ใบละพันอัดอยู่เต็มเป้ จุได้ประมาณ 20-30 ล้านบาท สมัยนี้คงไม่พอแล้ว คงต้องใช้กระเป๋าเดินทางเล็กแบบมีล้อเพราะ 30-50 ล้านมันหนัก 30-50 กิโลกรัม แบกไม่ไหวแน่ๆ
อีกท่านหนึ่งคือ รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ อดีตอาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ และเป็นนักเขียนคอลัมน์ประจำที่ นสพ.แนวหน้า ช่วยมาบอกสรุปท้ายๆ ว่า “ไม่เคยเลิก เพราะนักการเมืองบางคนถือคติ “แข็งเท่าแข็งเงินง้างอ่อนได้ ดังประสงค์” กับมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนหนึ่งถือคติที่ว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น” กลายเป็นขนมจีนผสมน้ำยา”
ฟังๆ ดูแล้วเหมือนจะหมดหวัง แต่ทุกประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย แบบตัวแทน ที่ต้องมีการเลือกตั้ง ก็ต้องเจอการซื้อเสียงมาก่อนเป็น ร้อยปีกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ ไม่ว่าจะ อังกฤษ หรือ อเมริกา ก็ตามก็เจอมาแล้วทั้งนั้น ใช่ไหม? ในที่สุดเขาก็แก้กันไปได้ แล้วเราจะแก้กันอย่างไรต่อไป
ต่อภัสสร์ : ก่อนอื่น ผมคิดว่าเราก็ไม่ได้คิดต่างกันในทุกประเด็นนะครับ จากกรณีต่างๆ ที่พ่อเล่ามา ผมก็เชื่อว่ายังมีการจ่ายเงินกันในช่วงเลือกตั้งมากอยู่ แต่ก็เห็นด้วยกับศาสตราจารย์ผาสุกว่า ผลกระทบของเงินที่จ่ายนี้มันเปลี่ยนจากการซื้อเสียงโดยตรง เป็นการจ่ายค่าธรรมเนียมไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เงินนี้มันเป็นภาระและต้นทุนที่ไม่จำเป็นให้นักการเมืองอย่างชัดเจน ทำให้นักการเมืองต้องไปแสวงหาเงินมาจ่ายด้วยวิธีการต่างๆ รวมถึงการคอร์รัปชันด้วย
ส่วนวิธีการแก้ไขนั้น ผมคิดว่ามันคงไม่มีสูตรตายตัวเหมือนกันสำหรับทุกประเทศหรอกครับ แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เราคงหวังพึ่งการหาหรือสร้าง “คนดี” ไปตลอดไม่ได้ เราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างระบบที่ดีมากกว่านี้ ระบบที่ทำให้การจ่ายเงินช่วงการเลือกตั้งทำได้ยากขึ้น เพราะมีความโปร่งใสและมีเอื้อให้ประชาชนจำนวนมากมาช่วยกันจับตาดู ระบบที่สนับสนุนให้คนที่เลือกจะไม่จ่ายเงินซื้อเสียงหรือจ่ายตามธรรมเนียม มีโอกาสชนะการเลือกตั้งได้ ซึ่งระบบที่พูดถึงนี้ก็คือ Good Governance หรือที่เราแปลเป็นไทยว่า ธรรมาภิบาล หรือ การกำกับดูแลที่ดี ครับ
ธรรมาภิบาล หรือ การกำกับดูแลที่ดี ดูจะเป็นคำใหญ่ที่จับต้องได้ยาก แต่ที่จริงแล้วมันใกล้ตัวเรามากและสร้างได้ไม่ยากเลย หลักการข้อสำคัญที่นึกได้ทันทีคือการสร้างความโปร่งใส กับ ความมีส่วนร่วมของคนในสังคมครับ และนี่คือที่มาของเครื่องมือต่างๆ ที่ทีมงาน HAND Social Enterprise ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) พัฒนาขึ้นมา เช่น เพจต้องแฉ ACT Ai ฐานข้อมูลจับโกง หรือ Bangkok Budgeting จับตาให้งบกรุงเทพ ฯ ถูกใช้อย่างตรงจุด และอื่นๆ อีกมากมาย ที่เราทุกคนในฐานะประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้เลยวันนี้ เพื่อสร้างระบบที่ดีให้สังคมไทยครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี