คนบางกลุ่มที่เป็นแนวร่วมม็อบสามนิ้ว สนับสนุนคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ไปชูป้ายเรื่อง “ภาษีกู” กับการเลี้ยงดูสถาบันกษัตริย์ และมีการเสนอที่มีนัยกล่าวหาโจมตีอย่างรุนแรงด้วยความเท็จ
ขณะที่พรรคก้าวไกล ก็พยายามออกมาป่าวร้องว่า “การตรวจสอบงบประมาณ รวมทั้งงบสถาบันกษัตริย์ คือหน้าที่ของผู้แทนราษฎร ถ้าตรวจสอบไม่ได้ เราจะมีสภาไปทำไม?” อ้างว่า สส. พรรคก้าวไกลทำหน้าที่ในการตรวจสอบตามปกติ ได้รับหนังสือจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต. ) เรียกไปชี้แจงกรณีอภิปรายตรวจสอบงบประมาณและเผยแพร่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณของหน่วยราชการในพระองค์ ระหว่างการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 อาจขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92(2) เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่
น่าสนใจมาก คือ แฟนเพจ ฤๅ - Lue History ได้นำเสนอข้อเขียน เรื่อง “ตีแผ่วาทกรรมลวงโลก กล่าวหา “งบสถาบันฯ” ล้างผลาญ “ภาษีกู” ระบุว่า
“...“พระมหากษัตริย์ไทย คือกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก” นี่คือหนึ่งในคำกล่าวหาของม็อบปลดแอก ที่ใช้โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ มาอย่างต่อเนื่องและเมื่อถามถึงที่มาของคำว่า “รวยที่สุดในโลก” ก็จะได้รับคำตอบกลับมาว่าไปอ่านจากทวิตเตอร์มา ไปอ่านจากวิกิพีเดียมา ว่ามูลค่าพระราชทรัพย์ของในหลวงมีสูงถึง 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ แถมโยนทุกอย่างมารวมไว้ด้วยกันทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ งบประมาณสำนักพระราชวัง แม้กระทั่งงบประมาณในโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ก็ยังเอามาปนกัน และตบท้ายว่าทรัพย์สินกับงบประมาณเหล่านี้มาจากภาษีประชาชนที่เอาไปให้กษัตริย์ล้างผลาญ
ซึ่งทั้งหมดเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” เป็นชุดความคิดที่ยัดเยียดส่งต่อกันมาและเชื่อตามๆ กันไป
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือ ทรัพย์สินที่เป็นพระราชมรดกตกทอดของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นโดยเฉพาะ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เช่น ทรัพย์สินของสกุลมหิดลที่เป็นมรดกตกทอดมาจาก สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ย่าของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงเป็นคนประหยัด ขยันทำมาค้าขาย จนรัชกาลที่ 5 ตรัสเสมอว่า “แม่กลางร่ำรวย” ซึ่งในหลวงรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ต่างได้ใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์นี้ ในการช่วยเหลือประชาชนตลอดจนเป็นทุนสนับสนุนโครงการต่างๆเช่น โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา, มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และโครงการส่วนพระองค์อีกมากมาย ก็ล้วนใช้พระราชทรัพย์ส่วนนี้ทั้งสิ้น
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ พระราชมรดกตกทอดแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ และย่อมจะสืบทอดต่อไปยังพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ถัดไปในอนาคต เป็นพระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรี หาได้เป็นทรัพย์ของแผ่นดินไม่ ซึ่งผู้ดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่เดิมคือ กรมพระคลังข้างที่ และในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็น “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”
กรมพระคลังข้างที่ มีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก เช่น การก่อตั้งกิจการธนาคารในประเทศไทย คือ ธนาคารสยามกัมมาจล ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งต่อมา คือธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบัน ก่อตั้งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทยจำกัด เพื่อผลิตซีเมนต์ใช้เองในการพัฒนาประเทศ
ปี พ.ศ.2435 ได้มีการแยกงบประมาณราชการแผ่นดิน กับส่วนพระองค์ ออกจากกันเด็ดขาด กล่าวคือ มีการโอนย้ายกรมพระคลังข้างที่ซึ่งสังกัดกระทรวงพระคลัง ไปขึ้นต่อกระทรวงมุรธาธร นับแต่นั้น “กรมพระคลังข้างที่”ก็อยู่ในบังคับบัญชาส่วนพระองค์ จนกระทั่งเปลี่ยนไปเป็น “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็น “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”
พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2560 และ 2561 ทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์ (พระเจ้าแผ่นดินในฐานะตัวบุคคล) และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (พระเจ้าแผ่นดินในฐานะสถาบันพระมหากษัตริย์) ดูแลจัดการโดย “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”โดยที่ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งกรรมการสำนักงานได้ตามพระราชอัธยาศัยเพื่อประโยชน์สำคัญ คือ
ทำให้ทรงจัดการพระราชทรัพย์ได้สะดวกและเป็นประโยชน์ได้ง่ายขึ้น
ทำให้ทรงเสียภาษีอย่างถูกต้องได้ทั้งหมด
ทำให้ทรงได้รับสิทธิ์อันชอบธรรมในการดูแลพระราชมรดกแห่งพระราชวงศ์จักรี
ทำให้ทรงงานและทรงใช้พระราชทรัพย์ในการทรงงานเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ดังพระราชปณิธาน สืบสาน ต่อยอด พระราชดำริแห่งในหลวงรัชกาลที่ 9เพื่อให้ประเทศมีการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปได้
ตัวอย่างในการจัดการพระราชทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ คือการที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่ดินมากมายที่เคยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นสาธารณประโยชน์ และทรงยกให้หน่วยราชการจำนวนมาก เช่น ทรงมีพระบรมราชโองการ ยกที่ดินแปลงริมถนนราชดำริ 67 ไร่ ให้โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยไว้เก็บดอกผลเป็นต้น
งบประมาณสำนักพระราชวัง คือ เงินงบประมาณแผ่นดินเฉพาะหมวดค่าจ้างเงินเดือนข้าราชการในสำนักพระราชวัง หมวดค่าดำเนินการ และหมวดค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ของสำนักพระราชวัง ซึ่งประเทศต่างๆ ที่ปกครองด้วยระบอบ Constitutional monarchy ทั่วโลก ก็ต้องมีงบประมาณในส่วนนี้เหมือนกันทั้งโลก และรัฐบาลก็จัดถวายทุกประเทศทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น the Imperial Household Agency ของประเทศญี่ปุ่น Royal Households of the United Kingdom ของสหราชอาณาจักร
ปัจจุบัน สำนักพระราชวังมีบุคลากรทั้งสิ้นประมาณหนึ่งหมื่นคน และได้รับงบประมาณปีละหกพันแปดร้อยล้านบาท ซึ่งไม่ได้ถือว่ามากแต่อย่างใด และจำนวนอัตราข้าราชการในสำนักพระราชวัง จะถูกควบคุมและจำกัดโดยกฎเกณฑ์ของสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เช่นเดียวกับทุกกระทรวง ทบวง กรม
งบประมาณในโครงการพระราชดำริ คือ งบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากภาษีประชาชนและภาษีอื่นๆ แต่งบประมาณส่วนนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พูดง่ายๆ คือไม่ได้เอาไปให้พระมหากษัตริย์ใช้จ่าย หากแต่เอาไปกระจายให้หน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบ นำไปใช้ ทุกบาททุกสตางค์ ใช้เพื่อประชาชน ในหลวงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณส่วนนี้แม้แต่บาทเดียว
โดยโครงการต่างๆ นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อความคล่องตัว และเป็นการดำเนินการที่ช่วย “อุดรอยรั่วให้กับภาครัฐ” เพื่อผลปลายทางคือทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งโครงการในพระราชดำริทั้งหมด 4 พันกว่าโครงการนั้นได้ทดลองและริเริ่มขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น
ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นการอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ถึงที่มาและความแตกต่างของทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ งบประมาณสำนักพระราชวัง และงบประมาณในโครงการพระราชดำริ ซึ่งแยกส่วนกันอย่างชัดเจน ไม่ใช่งบประมาณก้อนเดียวที่มีไว้สำหรับพระมหากษัตริย์ ตามที่มีผู้พยายามบิดเบือนและโยงทุกอย่างว่ามาจากภาษีของประชาชน
ดังนั้น การออกมาเรียกร้องว่า ทรัพย์สินและงบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์มาจาก “ภาษีกู” จึงเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” และเป็นแค่ชุดความคิดที่เชื่อตามๆ กันไป ของคนที่ไม่เคยสนใจหาข้อมูลใดๆ เลย...”
เนื้อหาสาระข้างต้น แจกแจงความจริงอย่างกระจ่างชัด ทำให้เห็นเจตนาชั่วร้ายของผู้ที่ใช้วาทกรรมลวงโลกบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์ของไทย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี