อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่าสถานการณ์โลก 2 สถานการณ์ ทั้งสถานการณ์วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กับ สงครามระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน”ที่ชาติมหาอำนาจที่ยืนคนละฝั่งเป็นตัวเอกของแต่ละสถานการณ์เลือกดำเนินการในแนวทางที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงแตกต่างกัน แต่ทั้งสองหลักการเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยได้เรียนรู้ได้ศึกษา
เราได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของ “จักรวรรดินิยมอเมริกา” ภายใต้การบริหารประเทศของ “ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์”ด้วยระบบทุนนิยมเติมเงินเข้าไปในสังคมเพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อจนเกิดปัญหาภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงที่ระดับ 9.75% ค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำอย่างน่าใจหาย ขณะที่ “สหพันธรัฐรัสเซีย” ภายใต้การบริหารประเทศของ “วลาดีมีร์ ปูติน” กลับยึดถือดำเนินการตามพระราชดำรัส“พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร”เกี่ยวกับ “ศาสตร์พระราชา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”ที่พระราชทานไว้เมื่อคราว “ปูติน” ได้รับพระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2546 หรือ ค.ศ. 2003 หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย ในปี 2000
พระองค์ทรงให้คำแนะนำเรื่องการเกษตรเกี่ยวกับเรื่องน้ำ, เรื่องการส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งพาตนเองในเรื่องอาหาร ทรงมีพระวิสัยทัศน์กว้างไกล เหมือนทรงมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่ารัสเซียจะต้องสู้กับพวกชาติตะวันตก และเรื่องอาหารจะเป็นจุดอ่อนของประเทศรัสเซีย เพราะรัสเซียไม่เคยศึกษาพัฒนาการเกษตรอย่างจริงจังเลยพอมีเงินก็นำเข้าสินค้าที่ต้องการมาอย่างเดียว
พระองค์ตรัสว่า ถ้ารัสเซียซื้อเขามากินอย่างเดียว ไม่เคยทำเอง ถ้าเขาไม่ขายให้จะทำอย่างไร ประชาชนอดอยากก็โทษรัฐบาล และรัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ รัฐบาลไม่ดีก็ช่างเถิด แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่ดีจะต้องถูกไล่ออกเพราะหาอาหารให้ประชาชนไม่ได้อย่างนั้นหรือ การแจกเงินให้ประชาชนเป็นการซื้อเสียงวิธีหนึ่ง ได้เงินไปไม่ได้มากอะไร ไม่สามารถนำเงินนั้นไปเป็นเงินทุนทำมาหากินได้ แต่เอาไปใช้จ่ายสนุกสนานเดี๋ยวก็หมด
รัสเซียมีที่ดินมากมาย จึงริเริ่มแจกที่ดินแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ที่คนทั่วไปยังยึดติดว่าที่นั่นเป็นที่กันดาร เคยเป็นคุก เพาะปลูกไม่ได้เพราะอากาศหนาวจัดดินแข็ง แต่ พระองค์ทรงยืนยันว่าทำได้ทุกแห่งไม่ว่าอากาศหนาวหรือร้อน ถ้าเราศึกษาอย่างจริงจัง วิเคราะห์ดิน แหล่งน้ำพืชพันธุ์ที่ทนอากาศหนาวจัดได้มีอะไรบ้าง จากนั้นจึงเดินทางไปที่นั่นด้วยตนเอง พานักวิชาการเกษตรไปด้วย เริ่มวิจัยลักษณะดินหาแหล่งน้ำเตรียมไว้ มาลงตัวที่ข้าวสาลี ที่ใช้เป็นอาหารหลัก ยุโรปจึงเริ่มสนับสนุนปลูกข้าวสาลีเป็นบริเวณกว้าง
รัสเซียมีประชากร 143,500,000 คน เริ่มแรกเราทำให้พอกินในประเทศก่อน โดยรัฐบาลช่วยให้ทุนแก่เกษตรกรไปเพาะปลูกพวกมันฝรั่ง ข้าวสาลี ข้าวโพด มากขึ้น จนกระทั่งปี 2016 รัสเซียมีข้าวสาลีใช้ในประเทศจนเหลือส่งออกไปขายได้ ปัจจุบันรัสเซียส่งออกข้าวสาลีได้มากที่สุดในโลก ทำได้แบบนี้จึงไม่ต้องกลัวหากถูกแซงก์ชั่น อาหารก็จะไม่ขาดแคลน
วันนี้ยุโรปเริ่มแตกแยก ดอลลาร์เริ่มไม่มั่นคง ในขณะที่ยังไม่เห็นเค้าลางความพ่ายแพ้/ชัยชนะของรัสเซีย ความยืดเยื้อสงครามน่าจะนาน แต่ในรัสเซียไม่มีปัญหาเรื่องเรื่องปากท้องและการขาดแคลนสินค้าจำเป็น เพราะนอกจากรัสเซียจะพร้อมแล้วยังมีจีนและอินเดียมาเสริม ทำให้มองไม่เห็นโอกาสที่ประชาชนจะลุกฮือขึ้นขับไล่ “ปูติน”
เล่ากันว่าในวงวิชาการรัสเซียกำลังปะทะถกเถียงกันอย่างหนักว่า “ระบบเศรษฐกิจแบบปูติน” ที่นำมาจาก “ศาสตร์พระราชา-เศรษฐกิจพอเพียงของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 9” จะมาแทนระบบทุนนิยมเสรีของตะวันตกได้หรือไม่ โดยที่ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะมีระบบการเงินที่ไม่ต้องอ้างอิงเงินดอลลาร์สหรัฐ และการติดต่อสื่อสารก็ไม่ต้องผ่านสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป เพราะต่างก็มียูทูบทวิตเตอร์ของใครของมัน
เศรษฐกิจแบบปูตินนี้ก็คือ “ความสามารถในการพึ่งตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร” นี่คือบทสรุปของชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือ“จักรวรรดินิยมอเมริกัน” โดยแท้ ทำให้ “ปูติน และประชาชนรัสเซีย” ไม่พบวิกฤตทั้งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และในสงครามกับชาติตะวันตกในศึกยูเครน
วันนี้มาตรการแซงก์ชั่นก็ดี บอยคอตต์ก็ดี ถึงทุบตีรัสเซียให้อ่อนปวกเปียกไม่ได้ไง “ปูติน” เปิดปากด้วยความมั่นใจว่าเพราะ “ศาสตร์พระราชา” โดยแท้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี