ปัญหาหนี้สินของไทย คือปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงของประเทศ ล่าสุดพบว่าไทยมีหนี้ครัวเรือนประมาณ 16.1 ล้านล้านบาท หรือประมาณกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของ GDP โดยพบว่าอัตราหนี้ครัวเรือนโตในระดับปีละประมาณ 3.3 เปอร์เซ็นต์ แต่ทว่า GDP ไทยเติบโตแค่เพียง 1.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ถามว่า ทำไมหนี้ครัวเรือนของไทยสูงจนน่าวิตกถึงเพียงนี้ แล้วมันจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับต่ำ แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อให้หนี้ครัวเรือนลดลง ซึ่งก็ต้องถามว่า แล้วรัฐบาลมีปัญญาลดความร้อนแรงของหนี้ครัวเรือนลงได้หรือไม่ การแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ตจะช่วยลดหนี้ครัวเรือนได้จริงๆ หรือ หรือการที่รัฐบาลต้องการให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนได้หรือไม่
แต่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือ หนี้ครัวเรือนเป็นตัวฉุดรั้งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ เมื่อมีจำนวนหนี้มากๆ ขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาและเป็นปัญหารุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ ล่าสุดพบว่ามีหนี้เสียในประเทศไทยจำนวนประมาณ 1 ล้านล้านบาทแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากหนี้เสียของการกู้ซื้อรถยนต์ ดังจะพบว่าในปัจจุบันมีรถยนต์ถูกยึดเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้กู้ไม่มีปัญญาผ่อนชำระหนี้ ในขณะที่ผู้ซึ่งยึดรถยนต์ไปแล้ว ก็ไม่สามารถขายรถยนต์ออกไปได้ ทำให้มีรถยนต์จอดทิ้งอยู่ในลานจอดรถเป็นจำนวนมาก ซึ่งตอนนี้ยังมีปัญหาเพียงเรื่องการผ่อนชำระหนี้รถยนต์แบบสันดาปภายใน หรือรถยนต์จำพวกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ถ้าหากในอนาคต เกิดปัญหาหนี้เสียของรถ EV มากขึ้น ก็หมายความว่าปัญหาหนี้รถยนต์จะรุนแรงและสาหัสมากกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่า
ในขณะที่ปัญหาการผ่อนส่งชำระหนี้บ้านและคอนโดมิเนียมก็กำลังเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ผ่อนบ้านราคา 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลาง แล้วคนกลุ่มนี้ก็ยังมีหนี้สินประเภทอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อจาก non bank และบางรายยังมีหนี้นอกระบบอีกด้วย ดังนั้น ทำให้เกิดความวิตกว่าหนี้กู้ซื้อบ้านกำลังจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม Generation Y ที่กู้ซื้อคอนโดมิเนียม แล้วพบว่ากำลังมีปัญหาคอนโดมิเนียมถูกยึด เพราะผู้กู้ไม่สามารถผ่อนชำระต่อไปได้
ดังนั้น ปัญหาสำคัญในขณะนี้จึงอยู่ที่จะช่วยลดปัญหาหนี้สินก้อนโตให้ประชาชนได้อย่างไร จะปรับโครงสร้างหนี้อย่างไร เพื่อให้ทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ไม่เกิดผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทุกวันนี้พบว่ามีการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารของรัฐเป็นจำนวนมาก แต่ลูกหนี้ของธนาคารรัฐจำนวนไม่น้อยก็ไม่มีความสามารถชำระหนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้ลูกหนี้กลุ่มนี้จะไม่หนีหนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีปัญญาหรือความสามารถชำระหนี้ได้ แม้จะปรับโครงสร้างหนี้แล้วก็ตาม ส่วนลูกค้าธนาคารพาณิชย์เอกชนจะเกิดปัญหาการปรับโครงสร้างหนี้มากกว่า เพราะลูกหนี้มีความสามารถจ่ายชำระหนี้ได้ไม่มากนัก แล้วยังต้องมาเจอกับปัญหาดอกเบี้ยสูงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหาอีกว่าคนกลุ่ม Generation X และ Generation Y คือกลุ่มคนที่มีหนี้สินมากในระดับที่น่าเป็นห่วง โดยพบว่าคนกลุ่ม Generation X มีปัญหาการผ่อนชำระหนี้เงินกู้ซื้อรถยนต์ (auto loan) จำนวนประมาณ 3 แสนสัญญา ส่วนกลุ่ม Generation Y ก็มีปัญหาการผ่อนชำระหนี้เงินกู้ซื้อรถยนต์อีกประมาณ 1.7 แสนสัญญา รวมคนทั้งสองกลุ่มแล้วพบว่าเป็นหนี้ auto loan รวม 4 แสน 7 หมื่นสัญญา จึงพูดได้ว่าคนทั้งสองกลุ่มได้ติดกับดักเงินกู้รถยนต์จำนวนมาก เพราะฉะนั้น คนทั้งสองกลุ่มนี้จึงติดกับดักหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
แล้วถ้าหากลดดอกเบี้ยจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้นได้หรือไม่ ซึ่งอาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้วหากไม่ระมัดระวังการใช้เงิน ก็จะเกิดปัญหาหนี้อื่นๆ ตามมาได้ เนื่องจากเมื่อคนเห็นว่าดอกเบี้ยต่ำ กู้เงินได้ง่ายดาย ก็จะแห่กันไปขอกู้ แต่เมื่อกู้แล้วไม่มีปัญญาชดใช้ ก็จะเกิดปัญหาวิกฤตหนี้ตามมาในที่สุด เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่าการลดดอกเบี้ย จะทำให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนตามมาอีกเป็นจำนวนมาก ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าแล้วรัฐบาลจะมีปัญญาแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนได้อย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุด หากรัฐบาลไม่มีปัญญาแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชน รัฐบาลก็ต้องไม่เพิ่มหนี้สาธารณะให้ประชาชน เพราะหนี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากรัฐบาล คือภาระที่ประชาชนทุกคนต้องแบบรับในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี